อิสรภาพทางการเงิน

   " อิสรภาพทางการเงิน " ในทุกวันนี้คงไม่มีใครที่จะไม่รู้จักคำๆนี้ และความหมายของคำว่าอิสรภาพทางการเงิน
อิสรภาพทางการเงิน (Financial Freedom) หมายถึง การที่เรามีหลักประกันทางการเงินที่มั่นคงและเพียงพอที่จะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายตามแต่สมควร โดยที่เราไม่ต้องมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเรื่องเงินว่าจะไม่พอใช้กับการใช้จ่ายเพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพในอนาคต
ลองนึกดูสิว่า ถ้าเราไม่ต้องทำงานทุกวันแต่เรายังมีเงินใช้ทุกเดือน โดยที่ตัวเราเองและครอบครัวไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องการเงินภายในบ้านชีวิตเราจะดีแค่ไหน หรือในขณะที่เราทำงานอยู่เหมือนคนปกติอื่นๆทั่วไปอย่างที่คนส่วนใหญ่ทำกันในทุกวันนี้ แต่ตัวเราไม่ต้องอาศัยเงินเดือนเป็นหลักในการดำรงชีวิตของเรา พูดง่ายๆก็คือ เราไม่ได้อาศัยเงินเดือนจากการทำงานมาเป็นรายได้หลักของการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันนั่นเอง
       หากย้อนกลับไปเมื่อประมาณสิปปีที่แล้วคำว่าอิสรภาพทางการเงินมันช่างห่างไกลจากผู้เขียนซะเหลือเกิน ผู้เขียนไม่เคยรู้จักกับคำๆนี้เสียด้วยซ้ำ จนวันหนึ่งที่ผู้เขียนได้เจอกับหนังสือเล่มหนึ่งหนังสือเล่มนั้นได้เปลี่ยนความคิดของผู้เขียนไปโดยปริยาย เริ่มแรกตอนที่ผู้เขียนหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาดูบอกเลยว่าไม่ใช่เพราะเนื้อหาของหนังสือหรอกที่สนใจแต่เป็นคนที่เขียนหนังสือเล่มนี้ต่างหากที่ดึงดูดผู้เขียนให้หยับขึ้นมาเปิดอ่านดู
ผู้เขียนหนังสือเล่มนั้นเป็นดารา พิธีกร ชื่อดังที่ผู้เขียนชื่นชอบถึงแม้ว่าทุกวันนี้พระเอกคนนี้จะหายหน้าไปจากจอทีวีเป็นเวลานานแล้วก็ตาม แต่ผู้เขียนก็ยังชื่นชอบและไม่เคยลืมพี่เขาเลยก็คงได้แต่หวังว่าจะได้เห็นพี่เขากลับมาโลดเล่นผ่านจอทีวีอีกสักครั้ง (หวังว่าคงมีสักวัน)
หนังสือเล่มนั้นได้เปลี่ยนความคิดของผู้เขียนไม่ใช่แค่เปลี่ยนความคิดเท่านั้นมันได้เปลี่ยนชีวิตของผู้เขียนไปด้วย จากคนที่มองไม่เห็นอนาคต คนที่ไม่เคยว่างแผนการใช้ชีวิต คนที่ไร้จุดหมายในชีวิต คนที่สิ้นหวัง คนที่รู้เพียงแค่ว่าเราต้องออกไปทำงานเท่านั้นถึงจะได้เงิน คนที่ไม่เคยรู้เลยว่าเงินสามารถทำงานแทนเราได้(มันมีแบบนี้ด้วยเหรอ) แต่ทุกวันนี้ผู้เขียนรู้แล้ว ชีวิตต่อจากนี้จะเป็นยังไง อนาคตจะเดินไปทางไหน เป้าหมายในชีวิตคืออะไร ความสุขที่แท้จริงของชีวิตอยู่ตรงไหน และสุดท้ายเราจะตอบแทนสังคมของเราได้อย่างไร ผู้เขียนรู้แล้ว
        ต้องขอขอบคุณ คุณพอล ภัทรพล ศิลปาจารย์ กับหนังสือ เหนื่อยชั่วคราว สบายชั่วโครต ถ้าวันนั้นไม่ได้เจอหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนก็คงจะยังคงเดินหลงทางอยู่ในโลกที่ว่างเปล่ามองไม่เห็นอนาคต ผู้เขียนจะไม่อธิบายว่าหนังสือเล่มนี้เขียนว่ายังไงแต่อยากให้คุณได้อ่านด้วยตัวเอง คุณจะได้รู้ "ความฝันที่แท้จริงของตัวคุณเอง" และจะได้ตั้งเป้าหมายในชีวิตของคุณได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ผู้เขียนยังคงเดินตามความฝันที่ตัวเองตั้งไว้ไม่สำเร็จ แต่ผู้เขียนก็มั่นใจว่าสักวันหนึ่งความฝันนั้นจะสำร็จและบรรลุเป้าหมาย ขอแค่มีใจที่ตั้งมั่น หนักแน่นและมีสติ ทุกปัญหาและอุปสรรคที่ขวางทางมันจะผ่านไปสู่ความสำเร็จได้อย่างแน่นอนและผู้เขียนก็ขอเป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังท้อแท้และกำลังถอดใจ ให้มีกำลังใจสู้ต่อไปให้ถึงฝัน สักวันคงจะเป็นวันของคุณอย่างแน่นอน ส่วนใครที่กำลังเพิ่งเริ่มต้นทำตามฝันก็อย่างเพิ่งท้อเรามาเริ่มเดินออกจากจุด start ไปพร้อมๆกัน
       ในยุคที่เป็นยุคของข่าวสารข้อมูลที่ไวยิ่งกว่าสัญญาณอินเตอร์เน็ตใครมีของดีติดตัวมาไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ ความรู้หรือข้อมูลดีๆคนเหล่านี้มักจะได้เปรียบเสมอ แต่คนที่ไม่มีอะไรเลยทั้งความรู้ ข้อมูล หรือพรสวรรค์ก็ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองคงไม่มีวันได้ลิ้มรสชาติของการมีอิสรภาพทางการเงิน เรื่องพรสวรรค์ถึงจะไม่มีเราก็สร้างมันขึ้นมาได้ ความรู้หรือข้อมูลที่ดีๆเราสามารถเรียนรู้และหาได้เพราะยุคนี้คือยุคแห่งข่าวสารข้อมูล เราสามารถหาข้อมูลดีๆหนังสือดีๆได้เยอะแยะมากมาย เราสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์คนที่ประสบผลสำเร็จมาแล้วพวกเขาเหล่านั้นต่างปูเส้นทางไว้ให้เราแล้ว เราไม่จำเป็นต้องไปลองผิดลองถูกให้เสียเวลาแค่เราเดินตามทางที่พวกเขาเหล่านั้นปูไว้ให้ เพียงแค่นี้เราก็สามารถประสบความสำเร็จและไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว แต่เราต้องมีความตั้งใจและแน่วแน่ในเป้าหมายที่ชัดเจน มีความมุ่งมั่น ตั้งใจและทำตามแผนการที่วางไว้อย่างสม่ำเสมอไม่ย้อท้อเมื่อเจอปัญหาและอุปสรรค พยายามเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเราเรียนรู้มากเท่าไหร่ทางเลือในชีวิตก็มีมากยิ่งขึ้น
         วิธีการที่จะไปสู่ความสำเร็จอาจมีหลายวิธี แต่ทุกวิธีการล้วนใช้หลักการเดียวกันทั้งสิ้น
คุณพร้อมที่จะก้าวเท้าอกกเดินทางตามความฝันแล้วหรือยัง?
ถ้าคุณพร้อมเรามาก้าวเดินไปพร้อมๆกันเลยค่ะ เพื่อจุดมุ่งหมายที่สำคัญ คือ "อิสรภาพทางการเงิน"

Weewy

อิสรภาพทางการเงิน ( Financial Freedom )

   

เคล็ดลับสู่ความร่ำรวย

ก่อนที่คุณจะได้รู้วิธีการที่จะนำไปสู่ความร่ำรวย คุณต้องรู้ก่อนว่า "ทำไมคุณถึงต้องรวย..? " ถ้าคุณหาเหตุผลให้กับคำถามนี้ไม่ได้ มันก็ยากที่คุณจะรวย แต่ถ้าคุณบอกว่า "ฉันแค่อยากรวย " คุณจะไม่มีทางร่ำรวยอย่างแน่นอน มันเป็นเรื่องจริง ถ้าไม่เชื่อคุณลองไปถามคำถามนี้กับคนจนหรือคนที่กำลังถังแตกดู ส่วนใหญ่พวกเขามักจะตอบคำถามคล้ายๆกัน คือ ฉันแค่อยากรวย
     ความร่ำรวยจะมาหาคนที่ปรารถนามันจริงๆไม่ใช่แค่อยากรวย อยากรวยใครๆก็อยากกันทั้งนั้น แต่จะมีสักกี่คนกัน ที่ปรารถนาจะร่ำรวย ยอมเสียสละเวลาและความสุขส่วนตัวเพื่อทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น หากคุณทำได้ความร่ำรวยก็จะเป็นฝ่ายวิ่งเข้ามาหาตัวคุณเอง เพราะฉะนั้น สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ หาเหตุผลกับตัวเองว่า ทำไมคุณถึงต้องรวย..?
มันต้องเป็นเหตุผลที่หนักแน่น เด็ดเดี่ยวบวกกับความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะร่ำรวย ผสมผสานเข้ากับเป้าหมายที่ชัดเจนและการยืยหยัด อดทน
แน่นอน! เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะร่ำรวยเพียงชั่วข้ามคืน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องใช้เวลา บวกกับแผนการวิธีการ บทความนี้จะบอกคุณถึงหลักการที่จะทำให้คุณร่ำรวยและมั่งคั่ง
คุณทราบหรือไม่ว่า บุคคลที่ร่ำรวยส่วนใหญ่พวกเขาก็ใช้หลักการนี้กันทั้งนั้น มันเป็นแนวคิดที่สืบทอดกันมาข้ามศตวรรษถูกส่งต่อมายังรุ่นต่อรุ่น มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่ทราบถึงหลกการนี้ และคุณก็กำลังจะเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น!
     ถ้าคุณพร้อมที่จะรับหลักการแห่งความร่ำรวยนี้แล้ว อย่ารอช้า! ไขประตูสู่ความมั่งคั่งและร่ำรวย กันเลยค่ะ
                            13 เคล็ดลับสู่ความร่ำรวย The Secret Of Riches

         เคล็ดลับข้อแรก ฉันสามารถกำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้
ถ้าคุณอยากร่ำรวย คุณต้องเชื่อก่อนว่า คุณสามารถกุมชะตาชีวิตของตัวเองได้ โดยเฉพาะเรื่องเงิน แต่ถ้าหากคุณไม่เชื่อเช่นนั้น คุณก็คงจะเป็นอีกคนที่ไม่ประสบความสำเร็จทางด้านการเงินและไม่สามารถร่ำรวยได้ คนรวยพวกเขาเชื่อว่า ชะตาชีวิตเป็นสิ่งที่พวกเขาควบคุมได้
คุณต้องเชื่อว่า คุณคือผู้สร้าหนทางสู่ความร่ำรวยด้วยตนเอง คุณเป็นผู้ลิขิตระดับความสำเร็จทางการเงินของตัวเอง และจงจดจำประโยคนี้ไว้ให้ดีๆ
 " สูตรสำเร็จของแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน แต่วิธีการที่พวกเขาใช้ทำนั้น เหมือนกันแทบทุกคน "
บางคนอาจแย้งว่า " สำหรับฉันเงินไม่ได้สำคัญขนาดนั้น " ใครก็ตามที่พูดว่า "เงินไม่สำคัญ" คนเหล่านั้นมักจะไม่มีเงิน! ทวนอีกครั้งนะคะ "ใครก็ตามที่บอกว่าเงินไม่สำคัญ คนเหล่านั้นมักจะไม่มีเงิน" ในทางกลับกัน อาจจะมีบางกลุ่มคนที่เชื่อว่า "เงินไม่ได้สำคัญเท่าความรัก" เรื่องนี้มันไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกันได้เลยค่ะ หรือถ้าคุณไม่เชื่อคุณลองตอบคำถามนี้ ไก่กับไข่อย่างไหนสำคัญกว่ากัน ระหว่างท่อนแขนกันท่อนขา คุณว่าอย่างไหนควรมี
      ฟังดีๆนะคะ เงินเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับทุกเรื่องที่ต้องใช้เงิน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ไม่มีความสำคัญเลยสักนิด สำหรับเรื่องที่ไม่ต้องใช้เงิน.
เมื่อคุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว หากคุณยังคิดว่า เงิน ยังเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ อมยิ้มบอกได้เลยว่า คุณไม่มีทางที่จะร่ำรวยได้แน่นอน ลองคิดดูสิค่ะว่า ถ้าคุณมีแฟน มีเพื่อน มีพ่อแม่ มีลูก แล้วคุณบอกพวกเขาเหล่านั้นว่า พวกเขาไม่ใช่คนสำคัญ คิดดูสิว่า คนเหล่านั้นจะยังอยากอยู่กับคุณมั้ย อมยิ้มคิดว่าไม่นะและเงินก็คงจะเหมือนกัน
ความมั่งคั่งและร่ำรวยจะไปหาคนที่ปรารถนาจะมีมันไว้ในครอบครองเสมอ
   
           เคล็ดลับข้อสอง จงเล่นเกมการเงิน เพื่อที่จะชนะ
ในเกมกีฬาผลแพ้ชนะอาจไม่ส่งผลต่อชีวิตเราทุกคน  เพราะถ้าเราแพ้ในครั้งนี้แต่เราสามารถแก้มือได้ในครั้งหน้า แต่สำหรับเรื่องเงินๆทองๆเราแพ้ไม่ได้ เพราะความพ่ายแพ้มันคือ หายนะทางการเงิน  ดังนั้น ในเกมการเงิน เราต้องเล่นเพื่อที่จะชนะเท่านั้น
     คนรวยมีเป้าหมายที่แท้จริงคือ การมีฐานะมั่งคั่งและมีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ พวกเขาไม่ได้อยากมีเงินแค่พอใช้ สำหรับเป้าหมายของคนจนคือ การมีเงินพอกินพอใช้สำหรับจับจ่ายใช้สอย มีเงินพอสำหรับจ่ายใบแจ้งหนี้
ถ้าคุณหรือใครก็ตามที่คิดแบบนี้ "ฉันขอแค่พอมีพอกิน มีเงินพอสำหรับจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าเทอมลูก จ่ายหนี้บัตรต่างๆ มีเหลือเก็บออมเล็กๆน้อยๆ " เป็นไปได้ว่า คนๆนั้นก็จะได้ตามเป้าหมายที่เขาตั้งไว้ เพระเหตุใด..? ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น..?
มันคือ "พลังแห่งความตั้งใจ" ถ้าเป้าหมายของคุณคือการมีฐานะปานกลาง พอมีพอใช้ เป็นไปได้มากที่คุณจะไม่มีทางร่ำรวย แต่ถ้าคุณอยากรวย เป้าหมายของคุณคือ ความร่ำรวย ฉันไม่ต้องการพอมีพอกินต้องการพอมีพอกิน แต่ฉันต้องการมีเหลือกินเหลือใช้ รวยก็คือรวย เชื่อได้เลยว่าชีวิตของคุณจะลงเอยด้วยความสบายอย่างแน่นอน
     จงจำไว้ การที่เราหวังสูง เพื่อที่จะมีความมั่งคั่งและร่ำรวยนั้น ดีกว่า การที่เราจะต้องพยายามยอมรับ ความทุกข์ยากและความยากไร้
เพราะฉะนั้น ก่อนง้างธนู ควรค้นหาเป้าหมาย เมื่อเจอเป้าหมายก็เหนี่ยวเต็มแรงเลยค่ะ

            เคล็ดลับข้อสาม ไม่ใช่แค่ "อยากรวย" แต่ฉัน " ต้องรวย"
เหมือนอย่างที่พูดในตอนเริ่มแรกแล้วว่า แค่พูดว่าอยากรวย มันไม่มีทางที่จะทำให้เราร่ำรวยขึ้นมาได้ ความอยากรวยไม่ได้ทำให้ใครร่ำรวย คนส่วนใหญ่พวกเขาไม่ได้อยากรวยจริงๆหรอก เพราะพวกเขามีความเชื่อในด้านลบเกี่ยวกับการเป็นคนรวยซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึก ซึ่งบอกว่าการเป็นคนรวยเป็นเรื่องที่ผิด ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น..?
     สาเหตุหลักที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ร่ำรวยมาจาก "ความคิด" หนังสือ Think And Grow Rich กล่าวไว้ว่า ความคิดเป็นดังสิ่งของ และเป็นสิ่งของที่ทรงพลัง โดยเฉพาะเมื่อความคิดนั้นถูกรวบรวมเข้ากับความเด็ดเดี่ยวของเป้าหมาย การยืนหยัด และความปรารถนาอันแรงกล้า
ที่จะเปลี่ยนความคิดนั้นให้เป็นความร่ำรวย
     เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ นั่นเป็นเพราะ พวกเขาไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร คนรวยจะรู้แน่ชัดว่าตนเองต้องการความมั่งคั่ง ร่ำรวย ไม่โลเลไปมา พวกเขามุ่งมั่นทุ่มเทให้กับการสร้างฐานะ คุณยังจำ"พลังแห่งความมั่นใจ"ได้หรือเปล่า มันเป็นเรื่องยากที่คุณจะเชื่อ
แต่ฟังดีๆนะคะ " คุณจะได้ในสิ่งที่คุณต้องการเสมอ สิ่งที่จิตใต้สำนึกของคุณต้องการ ไม่ใช่แค่พูดว่าคุณต้องการ " ดังนั้น ความร่ำรวยไม่ได้มาจากความอยากรวย แต่มันคือการที่เราได้เลือกแล้วว่าจะมุ่งมั่นเพื่อความร่ำรวย ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความมั่งคั่งและร่ำรวย ส่วนคนที่บอกว่า "ทำงานหนัก พยายามแทบตายเพื่อการเป็นคนรวย แต่ไม่ได้ผล" นั่นอาจเป็นเพราะ ความพยายามของคุณยังน้อยเกินไป คำว่ามุ่งมั่น คือการทุ่มเทแบบไม่มียั้ง ซึ้งหมายความว่าทำทุกอย่างและต้องทุกอย่างจริงๆเพื่อให้ได้มันมา(ถูกกฎหมาย)คุณอาจต้องเสียสละเวลา ต้องเสี่ยง ต้องยอมเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อทุ่มเทให้กับความมั่งคั่งร่ำรวย คนส่วนใหญ่พวกเขาทำตรงนี้ไม่ได้ การไม่ยอมทุ่มเทที่จะเป็นคนรวยนั่นแหละที่ทำให้พวกเขาไม่รวยเสียที
     การเป็นคนรวยไม่เหมือนการเดินทอดน่องในสวน มันต้องอาศัยความกล้า ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ความพยายามเต็ม100% ทัศนคติแบบไม่ยอมแพ้ และสุดท้าย วิธีคิดแบบคนรวย
จากนี้คุณต้องเชื่อว่า คุณสามารถสร้างฐานะ ความมั่งคั่งขึ้นมาได้ด้วยตนเอง
            เคล็ดลับข้อสี่ คิดให้ใหญ่อยู่เสมอ
เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่รวยนั่นคือ พวกเขาคิดเล็กไป คนรวยพวกเขาคิดการใหญ่เสมอ ยิ่งคุณคิดใหญ่มากเท่าไหร่ คุณก็จะร่ำรวยมากเท่านั้น
 สิ่งนี้ถูกเรียกว่า กฎของรายได้ "คุณจะได้รับเงินเท่ากับมูลค่าของตัวคุณในท้องตลาด"
     คีย์มันอยู่ตรงนี้ค่ะ "คำว่ามูลค่า" ปัจจัยที่บ่งบอกมูลค่าของคุณในท้องตลาดมี 4 ประการ อุปสงค์ อุปทาน คุณภาพ ปริมาณ ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคและปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่คือ ปริมาณ ซึ่งหมายถึง ปริมาณที่คุณสามารถทำให้งานของคุณ ธุรกิจของคุณ สร้างผลกระทบต่อจำนวนผู้คนได้มากแค่ไหน แน่นอน! ยิ่งธุรกิจของคุณทำประโยชน์ให้กับคนจำนวนมากเท่าไหร่ คุณก็จะร่ำรวยมากเท่านั้น
    คนที่ไม่รวย เป็นเพราะพวกเขาหมกหมุ่น คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง ตัวเอง และตัวเอง แต่ถ้าคุณอยากร่ำรวย คุณต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ มันจะไม่ใช่แค่คุณคนเดียวอีกต่อไป แต่จะหมายถึง การทำเพื่อส่วนรวม การมอบคุณค่าชีวิตให้กับผู้อื่น ยิ่งคุณช่วยผู้อื่นแก้ปัญหามากเท่าไหร่ คุณก็จะร่ำรวยมากขึ้นเท่านั้น เช่น คุณมีบ้านคุณได้ช่วยให้คนที่เขาไม่มีบ้านได้มีที่พักอาศัยโดยคุณทำเงินจากค่าเช่าและมูลค่าของทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คำถามคือ คุณจะช่วยเหลือกี่ครอบครัวและกี่คน? คุณทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สร้างคอนโด เพื่อช่วยให้คนมีที่พักอาศัยที่สะดวกสบายตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนเมือง ประเด็นคือ คุณอยากช่วยเหลือคนเมือกี่คน?
ในการผลิตสินค้าออกมาขายให้กับตลาด คุณต้องการผลิตสินค้าออกมาขายให้คนร้อยคนพันคนหรือคนหมื่นๆคน สิ่งเหล่านี้แหละค่ะ ที่เรียกว่า คิดการใหญ่
      ย้ำอีกครั้งนะคะ  ยิ่งเราช่วยคนอื่นแก้ปัญหาได้มากเท่าใหร่ คนเหล่านั้นก็จะดึงดูดความร่ำรวยมาหาคุณมากขึ้นเท่านั้น
            เคล็ดลับข้อห้า มองอุปสรรคให้เป็นโอกาส
หากถามคนส่วนใหญ่ว่า ปัญหาที่ทำให้พวกเขาไม่รวยคืออะไร? คำตอบที่ได้จากพวกเขานั้นอาจทำให้คุณคิดว่าฉันก็คงจะเป็นเหมือนพวกเขา "เพราะฉันไม่มีโอกาส โอกาสไม่ใช่ใครจะมีได้ทุกคน เพราะเหตุนี้ฉันจึงไม่รวย " โอกาสไม่เหมือนกับตอนเราเกิดที่ชีวิตหนึ่งจะมีแค่ครั้งเดียว แต่โอกาสมันอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทุกที่ ทุกเวลาและทุกสถานการณ์ เพียงแต่คุณจะมองเห็นมันและเตรียมความพร้อมสำหรับการคว้าโอกาสไว้หรือเปล่า
     คนรวยมองเห็นโอกาส ในขณะที่คนทั่วไปมองเห็นอุปสรรค คนรวยมองเห็นโอกาสที่จะเติบโต คนทั่วไปมองเห็นการสูญเสีย คนรวยให้ความสนใจกับรางวัลที่จะได้รับ คนทั่วไปมองเห็นความเสี่ยง คนรวยมองเห็นโอกาสที่จะสร้างความร่ำรวยบนความเสี่ยง ในขณะที่คนทั่วไปมองหาความมั่นคงและปลอดภัย
การเสี่ยงของคนรวยคือ การที่พวกเขาได้ศึกษา ค้นคว้าหาข้อมูลไว้อย่างละเอียดก่อน จากนั้นก็พิจารณาข้อมูลที่ได้รับมาว่ามีความจริงเท็จ ความมีน้ำหนักของข้อมูลน่าเชื่อถือได้แค่ไหนก่อนตัดสินใจลงทุนบนความเสี่ยงนั้นๆ ผลตอบแทนที่ได้ขึ้นอยู่กับระดับของความเสี่ยง ยิ่งมีความเสี่ยงสูงผลตอบแทนที่ได้ก็จะสูงตามไปด้วย เนื่องจากคนรวยมองเห็นโอกาสตลอดเวลา พวกเขาจึงเต็มใจที่จะเสี่ยง และพวกเขาก็เชื่อว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียหรือในสถานการณ์ที่ย่ำแย่พวกเขาก็สามารถหาเงินและสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้
     แต่คนส่วนใหญ่(จน)พวกเขาตัดสินใจโดยการยึดติดความคิดเข้ากับความกลัว ในทุกสถานการณ์ สมองของพวกเขาจะคอยมองหาข้อผิดพลาด จุดบกพร่อง พวกเขากลายเป็นคนที่ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง จนทำให้มองเห็นแต่อุปสรรค ปัญหาและความเสี่ยง เพราะความกลัวที่จะสูญเสียจึงทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะลงมือทำอะไร และมักหาข้ออ้างให้ตัวเองเสมอ แม้พวกเขาจะบอกว่าตนเองกำลังเตรียมพร้อมสำหรับโอกาส แต่ในความเป็นจริงแล้วมันคือการ " เพิกเฉย " พวกเขากลัวจนไม่กล้าจะทำอะไร คอยทำตัวให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลาในเรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อความร่ำรวย ปล่อยให้เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า จากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปี จนสุดท้ายโอกาสก็สูญหายและหลุดลอยไป จากนั้นพวกเขาก็จะอ้างว่า " ฉันกำลังเตรียมตัว "
มีคุณลุงท่านหนึ่งเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า เมื่อ20ปีก่อนท่านได้ตัดสินใจซื้อที่ดินไว้ผืนหนึ่ง เป็นที่ดินที่อยู่ห่างไกลจากชุมชนและความเจริญในตอนนั้นคนไม่ได้ให้ความสนใจราคามันจึงไม่สูงมากนักท่านจึงตัดสินใจซื้อเก็บไว้ดีกว่าเอาเงินไปใช้ทำอย่าอื่น ซึ่งมันอาจสูญเปล่าแต่ถ้าซื้อเก็บไว้อย่างน้อยๆก็มีที่ดินเป็นของตัวเองหากวันข้างหน้ามีเรื่องให้ต้องใช้เงินก็สามารถขายได้ หลังจากถือครองที่ดินผืนนั้นเป็นเวลา 10 ปี ที่ดินก็มีราคาสูงขึ้น เนื่องจากความเจริญของหมู่บ้านได้แผ่ขยายออกไป มีนายทุนมาขอซื้อที่เพื่อทำศูนย์การค้าขนาดใหญ่ เชื่อมั้ยค่ะว่า เพราะที่ดินผืนนั้นคุณลุงเลยกลายเป็นคนที่ร่ำรวยเพียงชั่วข้ามคืนจากการตัดสินใจซื้อที่ในตอนนั้น คุณคิดว่ามันเป็นโชคดีหรือเพราะคุณลุงมองเห็นโอกาส แต่ฉันคิดว่าทั้งสองอย่าง
      ฟังดีๆนะคะ การเป็นคนมีโชคจะเกิดขึ้นได้ เมื่อคุณลงมือทำเหตุให้เกิด หากคุณต้องการร่ำรวย ความสำเร็จทางการเงิน คุณต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง เริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง เมื่อคุณเริ่มต้นแล้วมันจะเป็นโชคดี ฟ้าลิขิตหรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้คุณไปถึงเป้าหมาย สิ่งนั้นไม่สำคัญหรอกค่ะ แค่มันเกิดขึ้นก็พอแล้ว
สิ่งสำคัญอีกอย่าที่คุณควรรู้คือ กฎของจักรวาลระบุไว้ว่า "สิ่งที่คุณให้ความสนใจจะเพิ่มขยายผล" ความหมายคือ อะไรก็ตามที่คุณให้ความสนใจมันจะขยายใหญ่ขึ้น ดึงดูดพวกเดียวกันมามากขึ้น เพราะฉะนั้นการที่คนรวยให้ความสนใจกับโอกาสมันจึงทำให้พวกเขาได้รับโอกาสมากมายที่เรียงรายเข้าไปหา
ซึ่งตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่(จน)พวกเขาให้ความสนใจกับอุปสรรคและปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งแน่นอนสิ่งที่พวกเขาได้รับจึงเป็น อุปสรรคและปัญหา นานับประการ สุดท้ายพวกเขาจึงต้องเผชิญกับปัญหาที่ยิ่งใหญ่ คือ การทุกข์ยากและยากจน
      จำประโยคนี้ไว้ให้ดีๆนะคะ ถ้าคุณอยากรวย จงมุงความสนใจไปที่การหาเงิน การเก็บเงิน และการลงทุน แต่ถ้าคุณอยากจน จงมุ่งความสนใจไปที่การใช้เงิน
              เคล็ดลับข้อหก จงเรียนรู้ความสำเร็จจากผู้อื่น
วิธีที่รวดเร็วและง่ายดายที่สุดในการสร้างฐานะให้มั่งคั่งและร่ำรวย คือ การเรียรู้จากคนรวยที่ประสบผลสำเร็จ เรียนรู้จากวิธีคิด วิธีปฎิบัติ แล้วนำวิธีการเหล่านั้นมาเป็นแบบอย่างให้กับตัวเอง พูดง่ายๆก็คือ การเลียนแบบนั่นเอง
       คนที่ประสบความสำเร็จพวกเขาจะมองความสำเร็จของผู้อื่นเป็นพลังขับเคลื่อนให้พวกเขามีขวัญและกำลังใจ พวกเขาศึกษาและเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้ที่ประสบผลสำเร็จและพวกเขาก็จะเดินตามทางที่คนร่ำรวยเหล่านั้นได้บอกทางไว้แล้ว
แต่สำหรับคนจน แน่นอน! พวกเขามีความคิดที่ตรงกันข้ามกับคนรวยและคนที่ประสบผลสำเร็จ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาได้ยินเรื่องความสำเร็จของคนอื่น พวกเขามักจะเกิดการวิพากษ์ วิจารณ์ แสดงอาการล้อเลียนเสียดสีต่างๆนานา และพยายามดึงคนเหล่านั้นให้ลงมาอยู่ในระดับเดียวกัน และนี่จึงเป็นเหตุผลที่คนจนไม่ประสบความสำเร็จทางด้านการเงินรวมทั้งทุกๆด้านของชีวิตด้วย
        จำประโยคนี้ไว้นะคะ " คุณไม่มีทางที่จะเรียนรู้หรือได้แรงบันดาลใจจากคนที่คุณดูถูก "
                 เคล็ดลับข้อเจ็ด ปัญหาเล็กนิดเดียว
ความแตกต่างที่สำคัญและยิ่งใหญ่ระหว่างคนรวยและคนจน "คนรวยจะมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก ส่วนคนจนจะมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่จะรับมือไหว"
     การสร้างฐานะไปสู่ความมั่งคั่งไม่เหมือนกับการเดินช็อปปิ้งในห้างหรือเดินออกกำลังกายในสวน แต่มันเป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรค ปัญหา บนถนนแห่งความมั่งคั่งที่เต็มไปด้วยกับดักและหลุมพราง และนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงไม่เลือกเดินบนถนนเส้นนี้ คำตอบก็คือ เพราะพวกเขาไม่อยากเจอกับปัญหา
คนจนทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองไม่ต้องเจอกับปัญหา แต่คุณเชื่อมั้ย ยิ่งพวกเขาวิ่งหนีปัญหา หลบเลี่ยงมันมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งเข้าใกล้มันมากเท่านั้น สุดท้ายพวกเขาก็ต้องเผชิญกับปัญหาที่ร้ายแรงมากที่สุดนั้นคือ ความทุกข์ยาก
     เคล็ดลับสู่ความสำเร็จไม่ใช่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาหรือหันหลังให้กับปัญหา แต่มันคือการยอมรับและพัฒนาตนเองให้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าทุกๆปัญหา
คนรวยพวกเขามุ่งความสนใจไปที่เป้าหมายมากกว่าปัญหา พวกเขามุ่งเน้นไปที่วิธีการแก้ไขปัญหาและป้องกันไม่ให้ปัญหานั้นเกิดขึ้นมาอีก
คนจนพวกเขาจะจมปรักอยู่กับปัญหาและเสียพลังงานไปกับการพร่ำบ่น โทษสิ่งต่างๆพวกเขาโทษทุกอย่าง ยกเว้นตัวเอง พวกเขาแทบไม่เคยคิดหาวิธีการเพื่อที่จะแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาไม่ประสบผลสำเร็จทางด้านการเงินและทุกๆด้านของชีวิต
     จำประโยคนี้ไว้นะคะ " เมื่อเรายังคงมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ทุกๆก้าวที่เราเดินไปจะต้องพบเจอกับปัญหาและอุปสรรค เพราะปัญหาและอุปสรรคมันคือส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตเราเติบโต"
                  เคล็ดลับข้อแปด อย่าให้มีเพดานจำกัดรายได้ของคุณ
หัวข้อนี้อาจมีผลกระทบต่อใครหลายๆคนที่กำลังทำงานประจำซึ่งรวมถึงตัวผู้เขียนเองด้วย การทำงานประจำไม่ผิดอะไรมันแค่ลดประสิทธิภาพในการหาเงินจากศักยภาพในตัวคุณก็เท่านั้นเอง และนั่นแหละคือปัญหาและมักจะเป็นปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่เสียด้วย
     ตอนที่ผู้เขียนได้รู้เคล็ดลับในข้อนี้ ในหัวสมองตอนนั้นคิดว่า มันเป็นความจริงทุกอย่างที่เขากล่าวไว้ คนส่วนใหญ่ที่พวกเขาเลือกที่จะทำงานประจำเลือกที่จะรับเงินเดือนประจำนั้น เหตุผลเพราะพวกเขากำลังกลัว กลัวว่าถ้าออกไปทำงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่งานที่ได้เงินตายตัวหรืองานที่มีรายได้ไม่แน่นอน พวกเขาจะมีเงินไม่พอใช้จ่ายในแต่ละเดือน หรือพูดง่ายๆก็คือ พวกเขากลัวว่าตัวเองจะหาเงินได้น้อยกว่าที่เคยได้รัวนั่นเอง
อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ความเคยชิน ในตอนที่เรายังเป็นเด็กหลายคนคงเคยได้ยินคำนี้ " ลูกต้องตั้งใจเรียน เรียนจบสูงๆได้เกรดดีๆ เพื่อที่ลูกจะได้ทำงานดีๆได้เงินเดือนสูงๆและมีความมั่นคงในชีวิต " ผู้เขียนไม่ปฎิเสธเลยเพราะตอนเป็นเด็กก็ได้ยินคำนี้จากพ่อแม่และครูที่โรงเรียน ด้วยคำพูดที่ว่านี้มันได้กลายมาเป็นความคิดที่ฝั่งใจหรือจิตใต้สำนึกของเรานั่นเอง เราจึงมีความคิดส่า ถ้าอยากมีชีวิตที่มั่นคง เราต้องทำงานและมีเงินเดือน ตรงข้ามในทางกลับกัน งานที่ไม่มั่นคง งานที่ไม่มีหลังประกันรายได้ที่แน่นอน เราไม่ควรทำเพราะมันจะทำให้ชีวิตเราไม่มั่นคงและปลอดภัย
     ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะรับเงินเดือนประจำหรือค่าแรงตามชั่วโมงการทำงาน เพราะพวกเขาต้องการความมั่นคง ซึ่งหมายถึงการได้รู้จำนวนเงินที่จะได้รับอย่างแน่นอนในทุกๆเดือน แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่รู้ พวกเขาต้องเสียบางสิ่งบางอย่างไปเพื่อแลกกับความมั่นคงของชีวิต นั่นก็คือ เวลาและความมั่งคั่ง
คนรวยพวกเขาจะเลือกรับเงินตามผลงานมากกว่าการมีเงินเดือนที่ตายตัว ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะสร้างธุรกิจในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง โดยมีรายได้เป็นผลกำไรจากธุรกิจ ถ้าเป็นในระบบการทำงานพวกเขาเลือกที่จะรับผลตอบแทนเป็นค่าคอมมิสชั่นหรือได้รับค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ของรายได้ พวกเขามักจะเลือกถือหุ้นและได้รับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทแทนที่จะรับเงินเดือนสูงๆ เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะ คนรวยพวกเขามีความเชื่อมั่นในตัวเอง พวกเขาเชื่อในความสามารถและคุณค่าในการสร้างมูลค่าให้กับตัวเอง ซึ่งตรงข้ามกับคนจนที่ไม่เชื่อ และนี่คือเหตุผลที่ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องการหลักประกัน
     กลยุทธิ์หลักในการหาเงินของคนจนคือ การเอาแรงและเวลาไปแลกกับเงิน ซึ่งข้อเสียของวิธีการนี้คือ เวลาและแรงของเรามันมีอยู่อย่างจำกัด นั่นหมายความว่าพวกเขากำลังแหกกฎแห่งความมั่งคั่งที่สำคัญที่สุดที่บอกว่า " อย่าให้มีเพดานมาจำกัดรายได้ของคุณ "
ถ้าคุณเลือกรับเงินตามเวลาที่คุณทำงาน เท่ากับคุณทำลายโอกาสไปสู่ความมั่งคั่งของตัวคุณเอง
                    เคล็ดลับข้อเก้า ทางเลือกมีมากกว่าหนึ่งเสมอ
คนรวยส่วนใหญ่คิดและเชื่อว่าพวกเขาสามารถเลือกได้ทั้สสองอย่าง แต่คนจนพวกเขาเชื่อว่าตนเองสามารถเลือกได้แค่อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น คุณอยากทำในสิ่งที่คุณรักกับมีรายได้มหาศาล คุณเลือกสิ่งใหน? การเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตกับการมีความสัมพันธุ์ที่ดีกับครอบครัว คุณเลือกอย่างใหน? ในการทำธุรกิจกับเที่ยวให้สนุกคุณเลือกแบบใหน? คุณอยากให้ชีวิตมีความหมายหรือต้องการเงิน
     ทุกคำถามที่ถามมาเราสามารถเลือกได้ทั้งสองอย่าง เราไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งและคนรวยก็เลือกที่จะมีทั้งสองอย่างเสมอ เราสามารถทำในสิ่งที่ตนเองรักและมีรายได้ควบคู่ไปด้วยซึ่งผู้เขียนก็ทำอยู่ในขณะนี้ เราสามารถเลือกที่จะเป็นคนที่ประสบผลสำเร็จในชีวิตไปพร้อมๆกับการมีความสัมพันธุ์ที่ดีกับคนในครอบครัว เราสามารถเลือกทำธุรกิจไปพร้อมๆกับการเที่ยวให้สนุกได้ นี่เป็นแค่ตัวอย่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้นยังมีอีกหลายๆคำถามที่เราสามารถเลือกตอบได้ว่า " ฉันเลือกทั้งสองอย่าง"
ในสถานการที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง คำถามที่สำคัญที่สุดที่คุณต้องถามตัวเอง คือ " ทำอย่างไรฉันถึงจะได้ทั้งสองอย่าง?และ ฉันจะมีทั้งสองอย่างได้อย่างไร? "คำถามนี้จะทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนทันที เปลี่ยนจากชีวิตที่ขาดแคลนและเต็มไปด้วยข้อจำกัดไปสู่ชีวิตที่อุดมสมบูรณ์และความเป็นไปได้ ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องของสิ่งที่คุณต้องการหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงทุกๆด้านของชีวิตอีกด้วย
    การคิดถึง สองทางเลือก เป็นเรื่องที่สำคัญมากโดยเฉพาะเรื่องเงิน คนจนเชื่อว่าพวกเขาต้องเลือกระหว่างเงินกับสิ่งอื่นๆในชีวิต และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาทำให้เงินกลายเป็นเรื่องสำคัญรองจากสิ่งอื่นๆ การบอกว่าเงินไม่สำคัญเท่ากับสิ่งอื่นๆในชีวิตมันเป็นเรื่องที่เหลวไหล เหมือนคำถามที่ว่า คุณคิดว่าอะไรสำคัญกว่ากันระหว่างแขนกับขา? เป็นไปได้ไหมว่ามันสำคัญทั้งสองอย่าง การเป็นคนดีไม่จำเป็นต้องเป็นคนจน
คนจนเชื่อว่าเงินและความสุขเป็นเรื่องที่แยกออกจากกัน พวกเขาต้องเลือกว่าจะรวยหรือมีความสุขแต่สำหรับคนรวยพวกเขาเลือกที่จะมีความสุขไปพร้อมๆกับการมีเงิน นั่นคือ ฉันเลือกทั้งสองอย่าง
     การเป็นคนดีไม่จำเป็นต้องเป็นคนจน คุณสามารถเป็นคนดีได้และรวยได้เช่นกัน การเป็นคนดีหรือไม่ดี มันไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณมีหรือไม่มีในกระเป๋าเงินเลย คุณสมบัติเหล่านั้นมันมาจากจิตใจของคุณจิตวิญณานภายในตัวคุณต่างหาก
                     เคล็ดลับข้อสิบ จงสร้างทรัพย์สิน
ตัวชี้วัดความมั่งคั่งคือมูลค่าของทรัพย์สินไม่ใช่รายได้จากการทำงาน .คนรวยพวกเขาจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างทรัพย์สินในขณที่คนจนมุ่งเน้นไปที่การหาเงิน การมีรายได้จากการทำงานมันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการเดินทางไปสู่ความมั่งคั่ง ที่กล่าวเช่นนี้เป็นเพราะคนรวยส่วนใหญ่พวกเขาก็เริ่มต้นจากการมีรายได้จากการทำงานมาก่อนทั้งนั้น นอกเสียจากว่าคุณจะมีเงินจากกองมรดกก้อนโตหรือถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง ซึ่งมันมีโอกาสเป็นไปได้เพียงแค่หนึ่งในล้านเท่านั้น
     ในหนังสือพ่อรวยสอนลูก ของ โรเบิร์ต ที.คิโยซากิ ได้กล่าวไว้ว่า " คนรวยครอบครองทรัพย์สิน ในขณะที่คนจนและคนชั้นกลางครอบครองหนี้สิน โดยคิดว่ามันคือทรัพย์สิน " ความหมายของทรัพย์สินในประโยคนี้คือ สิ่งที่ทำให้เงินไหลเข้ากระเป๋า ส่วนคำว่าหนี้สินคือ สิ่งที่ทำให้เงินไหลออกจากกระเป๋า
คนรวยพวกเขาจะรู้กฎการเงินข้อนี้ดี ดังนั้นพวกเขาจึงเอาเวลาไปสร้างทรัพย์สิน สังเกตุคนรวยส่วนใหญ่พวกเขาจะมีธุรกิจรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งที่สร้างรายได้ให้กับพวกเขา ซึ่งรายได้จากตรงนั้นทำให้พวกเขาสามารถที่จะหยุดทำงานได้และเอาเวลาไปใช้ทำอย่างอื่น เมื่อสมองของพวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไปพวกเขาก็สามารถมองเห็นโอกาสที่จะสร้างความร่ำรวยและมั่งคั่งมากยิ่งขึ้น
    ซึ่งแตกต่างจากคนจนที่สนใจแต่การหาเงิน มิหนำซ้ำพวกเขายังใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไปกับการสร้างหนี้สิน พวกเขาลืมคิดไปว่าเวลาที่พวกเขาจะใช้หาเงินนั้นมันมีวันหมดอายุ พวกเขาไม่สามารถเอาแรงไปแรกเงินได้ตลอดชีวิต ในวันที่พวกเขาไม่สามารถเอาแรงไปแรกเงินได้ เงินที่พวกเขาเคยได้ก็จะสูญหายไปกับตา และที่สำคัญที่สุดพวกเจายังต้องพบเจอกับความทุกข์ยากในวันที่พวกเขาไม่มีรายได้จากการทำงานอีกแล้ว
                       เคล็ดลับข้อสิบเอ็ด บริหารเงินให้เป็น
คนรวยกับคนจนไม่ได้ฉลาดเกินกันสักเท่าไหร่ แต่ที่คนรวยมีก็คือ นิสัยในด้านการเงินที่มีติดตัวมา นั่นอาจเป็นเพราะว่าพวกเขาถูกอบรมเลี้ยงดูมาจากครอบครัว หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะคนจนไม่รู้วิธีบริหารเงิน
     สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่าความสำเร็จทางการเงินและความล้มเหลวทางการเงินคือ วิธีบริหารเงินนั่นเอง เราอาจเชี่ยวชาญเรื่องเงินได้ถ้าเรารู้จักบริหารเงิน สำหรับคนจนส่วนใหญ่พวกเขามักจะบริหารเงินผิดวิธีและบางทีพวกเจาก็มักจะหลีกเลี่ยงโดยมีเหตุผลมาเสริมว่า การบริการเงินมันเป็นการจำกัดอิสรภาพ หรือพวกเขาบอกว่าตัวเองไม่มีเงินมากพอที่ต้องบริหาร
การบริหารเงินไม่ใช่การจำกัดอิสรภาพแต่มันจะทำให้เราได้รับอิสรภาพทางด้านการเงินที่แท้จริงต่างหาก คือคุณไม่จำเป็นต้องทำงานหนักอีก
สำหรับใครที่บอกว่า " ฉันไม่มีเงินมากพอที่ต้องบริหาร" คนที่คิดแบบนีพวกเขากำลังคิดกลับด้านเหมือนอ่านหนังสือกลับหัว พวกเขาคิดว่า " เมื่อมีเงินมากพวกเขาถึงจะบริหาร" แต่แท้ที่จริงพวกเขาควรคิดว่า " เมื่อฉันเริ่มบริหารฉันก็จะมีเงินมากขึ้น "
เราต้องเริ่มจากการบริหารเงินที่มีให้ได้เสียก่อนแล้วเราก็จะมีเงินให้บริหารมากขึ้น จงจำไว้เสมอว่า " นิสัยของการบริหารเงินย่อมสำคัญกว่าจำนวนเงินที่เราบริหาร"
    แล้วเราจะบริหารเงินของเราได้อย่างไร...?
สิ่งแรกที่เราต้องทำคือการเปิดบัญชีเพิ่มจากบัญชีเงินเดือน แล้วจากนั้นให้คุณทำการตัดเงินจากบัญชีเงินเดือนทุกๆเดือน 10% (ขั้นต่ำ) ของรายได้ทั้งหมด เงินส่วนนี้เป็นเงินที่มีไว้สำหรับเพื่อการลงทุนหรือสร้างแหล่งรายได้ที่เรียกว่า Passive Income.(รมยได้ที่เราไม่ต้องใช้แรงไปแลกมา) พูดง่ายๆก็คือ ถ้าเงินคือไข่ทองคำ บัญชีนี้ก็เปรียบเหมือนการสร้างห่านี่จะออกไข่เป็นทองคำนั่นเอง และที่สำคัญห้ามนำเงินในบัญชีนี้ไปใช้ซื้อของหรือใช้จ่ายอย่างอื่นเด็ดขาด ใช้ได้เฉพาะการลงทุนเท่านั้น
นอกจากคุณจะมีบัญชีเงินออมสำหรับการลงทุนแล้ว คุณยังต้องมีอีกบัญชีหนึ่งคือ บัญชีเพื่อสร้างความสุขให้กับตนเอง คุณควรจะหักเงิน 10%ของรายได้มาเข้าบัญชีนี้เพื่อสำหรับจับจ่ายใช้สอยหรือสิ่งทีทจะทำให้คุณมีความสุข เช่น การไปเที่ยว ดูหนัง ฟังเพลง ซื้อสิ่งของที่อยากได้และที่สำคัญที่สุดคุณต้องใช้เงินในบัญชีนี้ทุกเดือน เหตุผลก็คือ เพื่อสร้างความสมดุล ถ้าเราเก็บเงินอย่างเดียวโดยไม่ใช้จ่ายเลยสุดท้ายจิตวิญณานในตัวของเราก็จะมองหาความสนุก สุดท้ายมันจะล้างผลาญทุกอย่างที่เราเพียรสะสมมา
อีกบัญชีคือบัญชีเพื่อการศึกษา เราควรแบ่งเงิน10%ของรายได้เพื่อเก็บเข้าบัญชีนี้ เหตุผลเพราะ เราจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ชีวิตเราไม่ควรหยุดนิ่งอยู่กับที่ ดังนั้นการเรียนรู้เปรียบเสมือนกุญแจที่สำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ การเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องเป็นที่โรงเรียนเท่านั้นเราสามารถเรียนรู้ได้ในทุกสถานที่ เช่น เข้าสัมมนาเกี่ยวกับการลงทุน หาหนังสือแนวพัฒนาตนเองมาอ่าน ศึกษาชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จว่าเขามีแนวคิดอย่างไร อย่างนี้เป็นต้น
บัญชีสุดท้ายที่ควรมีไว้ก็คือ บัฐญชีสำหรับการให้ การทำบุญ การแบ่งปัน.เราควรแบ่งเงิน5%ของรายได้เข้าบัญชีนี้ บัญชีนี้ไว้ใช้สำหรับการที่เราจะนำเงินไปทำบุญหรือบริจาคเพื่อผู้อื่นที่ด้อยโอกาส อย่าลืมว่าชีวิตที่ทำเพื่อผู้อื่น อยู่เพื่อผู้อื่นนั้นมีคุณค่า ลองคิดดูสิว่าคุณจะมีความสุขมากแค่ไหนเมื่อคุณได้ช่วยเหลือคนอื่น
                            เคล็ดลับข้อสิบสอง ใช้เงินทำงาน
ถ้ามีใครบางคนมาบอกกับคุณว่า เราสามารถใช้เงินทำงานแทนตัวเราได้ คุณจะเชื่อคนๆนั้นไหม? ไม่! ฉันไม่คิดว่าคุณจะเชื่อคนๆนั้น เพราะคุณไม่ได้ถูกสอนมาว่าเงินสามารถทำงานแทนเราได้ คุณไม่เคยรู้เลยว่าเงินสามารถออกไปทำงานแทนเราได้
คุณรู้เพียงแค่ว่า ตัวเองต้องออกไปทำงานแล้วถึงจะได้เงิน คุณมีความเชื่อเพียงอย่างเดียวคือ ถ้าอยากมีเงินก็ต้องออกไปทำงาน หางานทำ นั้นคือวิธีเดียวที่คนจนหรือคนส่วนใหญ่ใช้ทำกัน
     หลักการสู่ความมั่งคั่งในหัวข้อนี้ มันอาจฟังดูเป็นไปไม่ได้ไม่มีความเป็นไปได้เลย เงินจะทำงานให้เราได้ยังไง? ฉันไม่เชื่อ! เสียงเล็กๆในหัวของคุณกำลังพูดขึ้นมา แต่...คุณไม่ต้องไปสนใจมันหรอกค่ะ มันจะพูดขึ้นมาในลักษณะนี้เสมอ เมื่อตัวเราได้ป้อนข้อมูลใหม่ๆเข้าไปในระบบของความคิด ถ้าความเชื่อเดิมของเรามันต่างกับข้อมูลใหม่ที่เราป้อนเข้าไป มันก็จะออกอาการประท้วงขึ้นมาเหมือนตัวอย่างที่บอกไปแล้วว่า "ฉันไม่เชื่อ"  ถ้าคุณเคยอ่านบทความเรื่อง Success ที่อมยิ้มเขียนเอาไว้คุณจะรู้ว่ามนุษย์เรามี2ตัวตนคุณจะเข้าใจมากขึ้น กลับมาที่เรื่องใช้เงินทำงานกันต่อนะคะ
ก่อนที่จะพูดกันต่อในเรื่องใช้เงินทำงานเรามารู้จักรายได้ของเรากันก่อนดีกว่าค่ะ
 รายได้บนโลกใบนี้มีอยู่2ประเภท นั้นคือ
    - รายได้แบบ Passive Income คือ รายได้ที่เราเอาแรงและเวลาไปสร้างทรัพย์สินเพื่อให้ทรัพย์สินสร้างรายได้แทนเรา รายได้แบบนี้ถ้าเราหยุดหรือป่วยเราก็ยังมีรายได้
   - รายได้แบบ Active Income คือ รายได้ที่เราเอาแรงและเวลาไปแลกมา รายได้แบบนี้ถ้าเราหยุดหรือป่วยรายได้ของเราก็หยุดตามไปด้วย
คนรวยพวกเขาจะรู้กฎการเงินข้อนี้ดีพวกเขาสามารถใช้เงินทำงานแทนพวกเขาได้ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำงานหนักอีกต่อไป แล้วพวกเขาทำอย่างไร...?
หลายคนอาจมีคำถามนี้ อมยิ้มมีคำตอบให้ค่ะ
คนรวยพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาต้องทำงานหนักและเหนื่อยเพื่อให้ได้เงินมา พวกเขาต้องใช้แรงและเวลาไปแลกกับเงินเหมือนคนส่วนใหญ่ แต่ที่ต่างกันคือ พวกเขาคิดว่าการทำงานในลักษณะนี้จะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต จำข้อนี้ไว้ให้ดีๆนะคะ เพราะมันอาจเปลี่ยนชีวิตคุณให้กลายเป็นคนมั่งคั่งร่ำรวยได้ คนรวยทำงานหนักเก็บออมเพื่อที่จะนำเงินไปสร้างรายได้กลับคืนมาให้กับพวกเขา(Passive Income) เมื่อรายได้ที่พวกเขาสร้างขึ้นมีจำนวนมากกว่ารายจ่ายที่ใช้จ่ายในแต่ละเดือนพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำงานหนักอีกต่อไป แหล่งที่มาของรายได้แบบ Passive Income
- รายได้จากทรัพย์สินทางการเงิน (Financial Assets) หุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวมต่างๆ เป็นต้น - รายได้จากทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Assets) เครื่องหมายการค้า สิ่งประดิษฐ์ หนังสือ เพลง Application หรือ Software
- รายได้จากอินเตอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้ง (Internet Marketing)
- รายได้จากอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) ที่ดิน บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ คอนโด
- รายได้จากการซื้อแฟรนไชส์ (Franchise)
- รายได้จากธุรกิจเครือข่าย (Network Marketing)
ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นคือแหล่งที่มาของรายได้แบบ Passive Income คนรวยส่วนใหญ่พวกเขาใช้หลักการนี้กันทั้งนั้น เมื่อพวกเขามีรายได้ Passive Income มากกว่ารายจ่ายพวกเขาก็สามารถหยุดการทำงานหนัก พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำงานทุกวัน มีเวลาว่ามากขึ้นจากการที่ไม่ต้องออกไปทำงานและนั่นทำให้พวกเขาสามารถคิดหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีความมั่งคั่งมากขึ้นกว่าเดิมโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป
     แตกต่างกับคนจนพวกเขาทำงานหนักเหมือนกันกับคนรวยทุกอย่างแต่ทำไมพวกเขาถึงไม่รวย พวกเขานำเงินที่ได้ไปใช้ทำอะไร...? คำตอบคือ พวกเขานำเงินที่ได้จากการทำงานหนักไปซื้อความสุขให้กับตัวเอง เช่น ซื้อรถเพื่อความมีหน้ามีตาในสังคม เสื้อผ้าแพงๆทานอาหารมนร้านหรูๆโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุด สังสรรค์กับเพื่อนๆสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่างๆที่พวกเขาสารมารถซื้อให้ตัวเองได้บางคนเงินไม่พอซื้อต้องยืมเงินจากอนาคตมาใช้ ทำบัตรเครดิต กู้ยืมจากสถาบันทางการเงินต่างๆเพื่อมาตอบสนองความต้องการของตัวเอง สุดท้ายก็กลายเป็นหนี้สินท่วมหัวทำงานใช้หนี้ไปแต่ละเดือน เหมือนกรงล้อที่มีหนูวิ่งอยู่ข้างในไม่สามารถหยุดวิ่งได้
          สรุปได้ว่า คนจนทำงานหนักและพวกเขาก็ใช้เงินทั้งหมดที่หามาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องทำงานหนักตลอดไป ส่วนคนรวย พวกเขาทำงานหนัก สะสมเงินและนำเงินไปสร้างรายได้Passive Income เมื่อรายได้มากกว่ารายจ่าย พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำงานหนักอีกต่อไป
                        เคล็ดลับข้อสิบสาม พัฒนาตนเองตลอดเวลา
อย่างที่ผู้เขียนเคยพูดไว้แล้วในเคล็ดลับข้อสิบเอ็ด เรื่องการเรียนรู้พัฒนาตนเอง คนส่วนใหญ่คิดว่าเมื่อเรียนจบออกมาทำงานพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อีก เพราะพวกเขาคิดว่าการเรียนรู้มีสอนแค่ในโรงเรียน มหาลัยเท่านั้น โรงเรียน มหาลัย สอนวิธีการหาความรู้ให้กับเรา เมื่อเราจบออกมาเราจะสามารถนำวิธีการที่ได้เรียนรู้เพิ่มจนเป็นการพัฒนาให้มันมีความชำนาญมากขึ้น
     คนที่ประสบผลสำเร็จในชีวิตพวกเขาไม่เคยหยุดการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง อันที่จริงการพัฒนาตนเองคือเป้าหมายที่สำคัญที่สุดเหนือเป้าหมายทั้งปวงเหมือนดังคำกล่าวของ อีริค ฮอฟเฟอร์ ที่กล่าวว่า" ผู้ที่เปิดใจเรียนรู้จะได้ดำรงอยู่ต่อไปขณะที่ผู้ที่คิดว่าตนเองรู้อยู่แล้วจะถูกส่งไปมีชีวิตอย่างสวยงามในโลกที่ไม่มีอยู่จริงอีกต่อไป" หรือพูดง่ายๆก็คือ ถ้าคุณไม่เรียนรู้อยู่ตลอดเวลาคุณก็จะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
เมื่อเราพัฒนาตนเองจนประสบผลสำเร็จทั้งด้านบุคลิกและความคิด มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะประสบความสำเร็จได้ในทุกด้านและทุกๆอย่างที่เราทำ
ความสำเร็จเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ได้ เราสามารถเรียนรู้ที่จะประสบความสำเร็จได้ในทุกๆเรื่องไม่สำคัญว่าตอนนี้คุณอยู่ตรงจุดไหน ไม่สำคัญว่าคุณเริ่มต้นจากตรงไหน สิ่งสำคัญคือ ความเต็มใจที่จะเรียนรู้
     สุดท้ายนี้อมยิ้มหวังว่าเคล็ดลับทั้งสิบสามข้อนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ได้อ่านทุกท่านและอมยิ้มก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าใครก็ตามที่ได้อ่านจะนำเคล็ดลับทั้งหมดไปปรับใช้กับชีวิต อีกข้อที่สำคัญที่อมยิ้มอยากบอกก็คือ เราควรมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน ถ้าทำอะไรโดยขาดเป้าหมายที่ชัดเจนแน่นอนว่าความประสบผลสำเร็จย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
      เส้นทางความสำเร็จในการปีนสู่ยอดเขามีอยู่ฉันใด หนทางและกลยุทธ์ที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างรายได้ที่งดงาม อิสรภาพทางการเงิน และความมั่งคั่งก็มีอยู่ฉันนั้น คุณต้องเรียนรู้และนำวิธีเหล่านั้นมาใช้ในชีวิต

Weewy
เคล็ดลับสู่ความร่ำรวย
The secret of riches




เปลี่ยนมุมคิด ชีวิตก็สุข

   เวลาที่เราขับรถอยู่บนถนนแล้วเจอรถติด ในตอนนั้นเรารู้สึกยังไง..?
เรามองเห็นความทุกข์หรือความสุข บนท้องถนนขณะที่รถติด
    ขณะยืนรอรถเมล์อยู่ที่ป้าย พอเห็นรถเมล์สายที่เรากำลังรอวิ่งมาเราโบกมือเรียกให้จอด แต่คนขับไม่จอด ความรู้สึกของเราในตอนนั้นคิดอะไร...?
มันเป็นความคิดที่ทำให้เราอมยิ้มได้หรือทำให้เราหันไปหน้าบึ้งกับคนที่อยู่รอบข้าง อมยิ้มบอกได้เลยว่าทั้งสองเหตุการณ์ที่ถามมา คนส่วนใหญ่ พวกเขาจะมองเห็นความทุข์
เหตุผลเพราะ " มนุษย์เรามักมีมุมมองหรือทัศนคติที่มองเห็นความทุกข์ง่ายกว่าความสุข " นั่นจึงทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตมีแต่ความทุกข์ ถ้าไม่เชื่อลองอีกเหตุการณ์หนึ่งค่ะ
เราเดินออกไปซื้อของที่เซเว่นหน้าปากซอย ตอนออกไปท้องฟ้าก็ปกติดี ไปถึงเซเว่นคนก็เยอะเหมือนทุกวันเพราะเป็นเวลาที่คนเลิกงาน ระหว่างที่รอจ่ายเงินกับพนักงานอยู่ดีๆท้องฟ้าก็มืดครึ้มขึ้นมา ในใจเราจะคิดแล้วว่า ร่มก็ไม่มีคนก็เยอะที่รอจ่ายเงิน แถวก็ยาว ตาเหลียวมองเค้าน์เตอร์ข้างๆทำไมแถวนั้นคิดเงินเร็วจัง รู้งี้ต่อแถวนั้นแต่แรกก็ดี เค้าน์เตอร์นี้พนังงานใหม่คิดเงินก็ช้า คนยิ่งรีบๆอยู่ด้วย ฝนตกมาจะกลับยังไง นี้เป็นทัศนคติของคนที่มองเห็นความทุกข์ หรือที่เรียกว่า "ต่อมความรู้สึกไวต่อความทุกข์ "
ในหนังสือ มีใจเป็นมิตร มีจิตเป็นเพื่อน ของพระไพศาล วิสาโล ท่านบอกว่า คนส่วนใหญ่มักจะ "ต่อมความรู้สึกไวต่อความทุกข์ แต่จะเมินเฉยกับความสุข " ถ้าถามคนส่วนใหญ่ถึงเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อ 10 ปี 20 ปี ได้มั้ย พวกเขาจะตอบว่าจำไม่ได้หรอก เรื่องมันผ่านมานานแล้ว งั้นเปลี่ยนคำถาม ตลอดเวลา 10 ปี 20 ปี ที่ผ่านมาเคยมีความทุกข์บ้างมั้ย ส่วนใหญ่พวกเขาจะจำได้ เล่าได้อย่างละเอียดเลยด้วย แต่ถ้าเปลี่ยนให้เล่าถึงความสุขที่ผ่านมาบ้างกลับเล่าได้ไม่ละเอียดเท่าเรื่องความทุกข์  เปรียบความสุขมันเหมือนเรากำลังฟังเพลงที่เล่นไปอย่างราบรื่นไม่สะดุด เราไม่ได้ใส่ใจ เพราะเป็นสิทธิที่เราควรจะได้  ส่วนความทุกข์คือ เพลงสะดุด ติดขัด เรากลับสังเกตุและรู้สึกได้ชัดเจน เราจะคิดว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ เราไม่ควรต้องเจอ  ต่อมความรู้สึกไวต่อความทุกข์ทำงานทันที
ถ้าฉันอยากมีความสุขต้องทำยังไง...?
ฉันกำลังมีเรื่องทุกข์ใจฉันต้องทำยังไงถึงจะหายทุกข์
ตอนนี้ฉันกำลังรีบ รถก็ติด ฉันเริ่มเหนื่อยและโมโหแล้ว
คำถามเหล่านี้อาจผุดขึ้นมาในหัวของใครบางคน เราลองมาเปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นความสุขกันดูค่ะ
อยากให้ลองมองในมุมกลับกันดู ฟังเพลงที่สะดุดเป็นเรื่องธรรมดา ความไม่ราบเรียบของชีวิตเป็นเรื่องปกติ แต่เพลงที่ราบรื่นไม่สะดุดหรือความสุขต่างหากที่เป็นเรื่องไม่ปกติ ต่อมความรู้สึกไวต่อความสุขจะเกิดขึ้นทันที ความสุขของเราจะอพิ่มขึ้นทันที เพิ่มขึ้นทั้งๆที่ชีวิตของเราก็ยังดำเนินเหมือนเดิมเช่นทุกวัน
ตอนที่รถติดแทนที่จะคิดถึงความทุกข์ที่ต้องไปถึงที่ทำงานช้า ก็เปลี่ยนเป็นคิดว่าดีจังเลยที่รถติด ฉันจะได้เตรียมความพร้อมก่อนเริ่มงานวันนี้ หรือดีจังเลยฉันจะได้มีเวลาอยู่บนรถนานขึ้นจะได้คุ้มค่ากับการใช้งานและราคาที่ซื้อ คิดแบบนี้ออกฮาด้วยซ้ำ
ถ้าอยากให้ชีวิตมีความสุขก็แค่เปลี่ยนมุมคิด เราสามารถเลือกที่จะมีความสุขชีวิตเป็นของเราเองนะคะ เราเป็นคนกำหนดชีวิตของเราเองว่าจะให้มันเป็นแบบไหน
ถ้าตอนนี้กำลังทุกข์ อยากให้หายทุกข์ เราต้องรู้สาเหตุแห่งความทุกข์ ถ้ารู้เหตุแห่งทุกข์ เราก็จะมองเห็นทางออกทันที
พระไพศาล  ท่านยังบอกอีกว่า ผู้มีปัญญาย่อมมองหา ความสุข ได้ท่ามกลาง ความทุกข์ แต่คนที่ไม่มีปัญญา จะคอยมองหา ความทุกข์ ท่ามกลาง ความสุข
ความทุกข์ มีไว้ให้ เห็น แต่ ความสุข นั้นมีไว้ให้ เป็น

      เวลาที่เราเดินไป "บนเส้นทางสายชีวิต"
   บางครั้ง เราต้องกล้าที่จะปล่อยให้ " หัวใจ "
       ออกไปค้นหา " ความสุข "บ้าง
แต่...อย่าลืม กระซิบบอก"หัวใจ"ด้วยนะว่า
ถ้าเจอ"ความสุข"แล้ว พากลับมาด้วยนะเธอ

Weewy
เปลี่ยนมุมคิดชีวิตก็สุข


Success

  ตอนที่ได้ยินคำกล่าวที่บอกว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" คำถามแรกที่ผุดขึ้นในหัวคือ มันจริงหรือ แล้วถ้ามันจริง ทำไมยังมีคนที่ผิดหวังกับความไม่สำเร็จล่ะ พวกเขาพยายามอย่างหนัก แต่ผลที่ได้รับคือ ความผิดหวัง ความล้มเหลว
มันไม่จริงเสมอไป ความพยายามไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จเสมอ  แต่... มันจะสำเร็จจริงได้แค่บางกรณี  เฉพาะกรณีที่คุณทำตามข้อแม้ ความพยายามที่นำไปสู่ความสำเร็จ มีข้อแม้หลายอย่าง
  จำบรรทัดต่อไปให้ดีๆนะคะ!!!
              ***  เมื่อไรที่จินตนาการ และความพยายามขัดแย้งกัน ***
                 ***  จินตนาการจะชนะทุกครั้ง ไม่มีข้อยกเว้น ***
ความหมายคือ ตราบใดที่ภาพในหัวของคุณคือ ความล้มเหลว หวาดกลัว  ต่อให้คุณพยายามอยู่มากแค่ไหน ภาพในหัวของคุณก็จะชนะ โดยไม่มีข้อแม้ เพราะนั่นมันเท่ากับว่า คุณไม่เชื่อมั่นในตนเอง ยิ่งพยายาม มันยิ่งแย่หนัก มีอีกสิ่งหนึ่งที่เราควรจะรู้ไว้ก็คือ " ความพยายามเกินไป "
เราเคยรู้สึกมั้ยว่าในตัวเรามี 2 ตัวตน
ตัวตนที่หนึ่ง  นักวิจารณ์ ชอบวิจารณ์ตนเอง ทำเป็นรู้มาก รู้เยอะ และยังเป็นนักขัดขวางอีกด้วย
ตัวตนที่สอง  พรสวรรค์และความสามารถที่เป็นธรรมชาติของเราเอง มีศักยภาพมหาศาลแบบไม่จำกัด
ปัญหาก็คือ ตัวตนที่หนึ่ง จะ "พยายามเกินไป"โดยไม่ยอมให้ตัวตนที่สองได้แสดงออกอย่างเต็มที่
   ใจความสำคัญอยู่ตรงนี้!!!
 " เราต้องหาวิธีให้โอกาส ตัวตนที่สอง ของเราได้แสดงออกอย่างเต็มที่ "
 ในขณะที่เรากำลังฝึกฝน เรียนรู้ สิ่งที่เป็นธรรมชาติของเราคือ ความสนุก ความเพลิดเพลิน ความพึงพอใจกับผลตอบรับ ความพึงพอใจกับความก้าวหน้าของตนเอง  แต่...ถ้าคุณกำลังไม่สนุก คุณกำลังกระเสือกกระสน คุณกำลังตะเกียกตะกาย เพื่อให้ตนเองเก่งขึ้น นั่นแสดงว่า คุณกำลังทำผิดธรรมชาติ นั่นคือ คุณกำลัง "พยายามมากเกินไป" และมันมักจะไม่ได้ผล
มีคำถามหนึ่งที่เรามักจะสงสัยอยู่เสมอ คือ ทำงานหนักแล้วได้ผลสำเร็จเสมอไปจริงหรือ?
มันไม่จริงเสมอไป อย่างกรณีต่อไปนี้ การทำงานมากขึ้นๆไม่ได้ช่วยเราไปถึงจุดหมาย
  - การทำงานหนักโดยไม่หา "พลังทวี" หรือ "สิ่งทุ่นแรง" คุณก็จะตกเป็น ทาส ( ทาส=ไม่มีอิสรภาพ) ของงาน หรือตกเป็น "พลังทวี" ของคนอื่นเพื่อใช้ในการทุ่นแรงให้กับคนที่ใช้พลังทวีมากกว่าคุณ  เหมือนที่ โรเบิร์ต คิโยซากิ กล่าวไว้...
              *** มนุษย์ได้เปรียบสัตว์ตรงที่สร้างเครื่องทุ่นแรง ฉันใด ***
               *** มนุษย์ที่ใช้สิ่งทุ่นแรงก็มีอำนาจเหนือมนุษย์ที่ไม่ใช้ ฉันนั้น ***
  - ทำงานมากๆในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ตนเองไม่ชอบ ไม่เก่ง หรือไม่ได้ให้ประโยชน์กับใคร
  - ทำงานซ้ำไปซ้ำมา จนน่าเบื่อ ไม่ท้าทายอีกต่อไป
  - ทำงานหนักในที่ที่ต้องการผลงานของคุณน้อย หรือมีคู่แข่งจำนวนมาก
  - ทำงานมากๆในเรื่องที่ไม่ดึงเอาจุดเด่นของตัวเองออกมาใช้
  - ทำงานมากขึ้นไม่ใช่ทางออกเสมอไป อาจถึงเวลาต้องเปลี่ยนวิธีการใหม่
  คนรวยต่างจากคนจนตรงที่ " คนรวยใช้เวลาในการสร้างสินทรัพย์ เพื่อให้สินทรัพย์ทำงานให้กับพวกเขา สำหรับคนจน พวกเขาใช้เวลาในการหาเงิน และความมั่นคง " ดังนั้น ถ้าคุณแลกเวลากับเงิน คุณจะไม่มีทางรวย
                              ต่อไปนี้คือเทคนิคที่สามารถช่วยคุณได้
           ถ้าคุณพยายามอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ดู
    - เปลี่ยนวิธีการ
ถ้าการทำสิ่งเดิมๆแล้วทำให้เราไปไม่ถึงเป้าหมาย ลองเปลี่ยนวิธีการใหม่ คิดหาวิธีใหม่ๆโดยการใช้ "ความคิดสร้างสรรค์"
    - ปล่อยวาง
การไม่ยึดติดกับผลลัพธ์มากเกินไป
   - สนุกกับกิจกรรมหรืองานนั้นๆ
มีความสุขกับงานที่ทำ ผลลัพธ์ที่ได้ถือเป็นกำไรของชีวิต
  - แบ่งงานซอยย่อย ทำให้สำเร็จทีละนิด
ความสำเร็จทีละนิด เป็นเหมือนเชื้อไฟ สร้างความภูมิใจให้กับเราและที่สำคัญมันยังเป็นภูมิคุ้มกันความท้อได้ดีอีกด้วย
นี้เป็นเทคนิคดีๆที่ได้มาจาก หนังสือ เชื่อมั่นในตน ของพี่บัณฑิต อึ้งรังษี  ลองนำไปปรับใช้กับชีวิตกันดูนะคะ
สุดท้ายอมยิ้มอยากขอบคุณความรู้ดีๆที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ หนังสือเล่มนี้ให้ข้อคิดดีๆหลายข้อและยังทำให้อมยิ้มมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น ขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณ
อยากชวนให้ทุกคนมาเป็นคนที่ประสบผลสำเร็จในชีวิตด้วยกันนะคะ


Weewy
Success


ปัญหาและอุปสรรค

  เชื่อว่าหลายๆคนคงคุ้นเคยกับคำว่า ปัญหาและอุสรรค แน่นอนค่ะ เมื่อเเราเกิดมาบนโลกใบนี้สิ่งแรกเลยที่เราจะต้องเรียนรู้และพบเจอก็คือ ปัญหา ปัญหาเปรียบเสมือนบททดสอบของชีวิต ว่าคุณจะอยู่บนโลกนี้ได้หรือเเปล่า ถ้าเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้ เจออุปสรรคแบบนี้ทุกๆก้าวที่เราก้าวเดิน จะคอยมีปัญหาเดินเคียงข้างเรา มันเป็นเหมือนเงาตามตัวเลย
   ตอนเราเป็นเด็กเราอาจจะเคยเจอกับปัญหา เชื่อว่่าทุกคนในวัยเด็กคงหนีไม่พ้นปัญหาการตื่นนอนตอนเช้าเพื่อไปโรงเรียน เห็นเพื่อนที่โรงเรียนมีของเล่นใหม่ตัวเราไม่มีนี่ก็เป็นปัญหา อยากกินขนมนี่ก็ปัญหา แต่เชื่อมั้ยค่ะ (สำหรับตอนเด็ก)เรามักจะมีคนช่วยแก้ปัญหาอยู่เสมอๆ เช่นอยากกินขนม เราก็วิ่งไปขอตังค์แม่ อยากได้ของเล่นใหม่ ก็วิ่งไปบอกพ่อซื้อให้ (ส่วนจะได้หรือเปล่าว่ากันอีกที อิอิ) ทำการบ้านไม่ได้พี่ก็ช่วยบอก(บางทีทำให้เลยด้วยซ้ำ) เพื่อนไม่ให้เข้ากลุ่ม ครูก็จะช่วยหากลุ่มให้ ตอนเป็นเด็กเรามีคนช่วยแก้ปัญหาให้ไม่ว่าปัญหาเล็กใหญ่แค่ไหน มันก็เป็นปัญหาสำหรับเด็กๆ
   พอเราโตขึ้นปัญหามันก็ใหญ่ขึ้นตามขนาดของเรา ไม่มีใครช่วยเราแก้ปัญหาได้แล้ว อาจารย์ พ่อแม่ เพื่อนทำได้แค่คอยให้คำแนะนำปรึกษา อย่างสมมุติเราอกหัก พ่อแม่ช่วยได้แค่ปลอบบใจและให้กำลังใจ บางคนไม่กล้าบอกพ่อแม่ว่าอกหักด้วยซ้ำ สอบเข้ามหาลัยไม่ติด ครูก็จะบอกยังมีมหาลัยอื่นๆอีกเยอะแยะให้เราเข้าเรียน จดเลคเชอร์ไม่ทันยังขอยืมเพื่อนมาจดได้
   แต่ถ้าเข้าสู่วัยทำงาน ปัญหาที่มีเข้ามามันจะยากขึ้น ใหญ่ขึ้น ครู อาจารย์ พ่อแม่หรือแม้แต่เพื่อนที่เรียนจบด้วยกันมาก็ช่วยเราไม่ได้ ส่วนใหญ่ปัญหาวัยนี้ก็คงหนีไม่พ้น เพื่อนร่วมงานไม่ชอบหน้าเรา ทำงานช้าส่งงานไม่ทันโดนหัวหน้าว่า ทำงานเงินเดือนไม่พอใช้รายจ่ายมากกว่ารายได้ นี่ก็ปัญหา ทำธุรกิจแล้วขาดทุน คู่แข่งทางการตลาดเขาแกร่งกว่าเรา พนักงานขายทำยอดไม่ได้ตามเป้า เพื่อนรุ่นเดียวกับเราประสบความสำเร็จแต่เรายังย้้ำอยู่กับที่นี่่ก็ปัญหา  ทะเลาะกับแฟน แฟนมีกิ๊ก แฟนบอกเลิก สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้  ดัังนั้น เราต้องคิดเอง หาวิธีแก้ไขเอง ครอบครัวได้แค่ให้คำปรึกษา เพื่อนก็มีให้แค่กำลังใจ ไม่มีใครที่จะอยู่ข้างกายเราได้นอกจากตัวเราเอง อมยิ้มอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง พออ่านมาเจอบทนี้เข้าก็เลยอยากมาแชร์มาเล่าให้เพื่อนๆได้รู้ เป็นหนังสือของสุดยอดโค้ชและนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ท่านบอกไว้ว่า
  ปัญหาบนโลกนี้มี 2 ประเภท คือ หนึ่ง ปัญหาที่แก้ได้ และ สอง คือปัญหาที่แก้ไม่ได้ ปัญหาที่แก้ได้ เราจะมัวไปนั่งกลุ้มทำไมกับปัญหาที่มันแก้ได้ จริงมั้ยค่ะ ส่วนปัญหาที่แก้ไม่ได้ เราก็รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางแก้ได้ แล้วจะมัวนั่งกลุ้มให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา ถึงจะกลุ้มยังไงปัญหามันก็แก้ไม่ได้อยู่ดี (ชื่อมันก็บอกแล้วว่าแก้ไม่ได้)
   ถ้าชีวิตเราตอนนี้มันยังไม่ดีอย่างที่คิดไว้ ก็อย่ามัวแต่นั่งบ่น จงลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ปรับปรุงแก้ไขพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น คนที่ประสบความสำเร็จช้าหรือไม่ประสบความสำเร็จเลย นั่นเป็นเพราะพวกเขามัวแต่คิดถึงแต่ปัญหา บ่นกับตัวปัญหา มองเห็นแต่ตัวปัญหา มองเห็นแต่อุปสรรคแล้วคิดว่าตัวเองโชคร้าย สุุดท้ายก็เหนื่อยหมดแรง หยุดอยู่กับที่บางทีชีวิตอาจกำลังถอยหลังเสียด้วยซ้ำ มีใครเคยเจอแบบนี้บ้างมั้ยค่ะ
    ทีนี้เราลองเปลี่ยนใหม่ค่ะ เปลี่ยนวิธีคิดใหม่ เปลี่ยนมุมมองแบบใหม่ เมื่อเจอปัญหาขอให้ใช้เวลามองดูปัญหาและกลุ้มใจ "เพียงแค่ 5%" ขอย้ำอีกครั้งนะคะ "ว่าแค่ 5%" ที่เหลืออีก 95% ให้คุณมองหาหนทางแก้ไข ให้คุณพุ่งความสนใจไปที่การแก้ไขปัญหา ไม่ใช่ บ่นกับปัญหา เมื่อเจอปัญหาคุณต้องถามตัวเองว่า " ฉันจะแก้ไขปัญหานี้ได้ยังไง?"
     นี่เป็นเคล็ดลับที่โค้ชบอกไว้ค่ะ ลองนำไปปรับใช้กับชีวิตกันดู ถ้าได้ผลยังไง อย่าลืมแวะมาบอกเล่าให้อมยิ้มฟังบ้างนะคะ
                                  สุดท้ายนี้ขอฝากข้อคิดไว้สักนิดค่ะ
เมื่อเราเกิดมามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้และเรายังคงมีลมหายใจ แน่นอนค่ะ ทุกๆก้าวที่เราเดินไปเราจะต้องพบเจอกับปัญหาและะอุปสรรค เพราะปัญหาและอุปสรรคมันคือส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตเราเติบโต
ขอบคุณความรู้ดีๆจากหนังสือ เร่งสปีดความสำเร็จ

Weewy