เคล็ดลับสู่ความร่ำรวย

ก่อนที่คุณจะได้รู้วิธีการที่จะนำไปสู่ความร่ำรวย คุณต้องรู้ก่อนว่า "ทำไมคุณถึงต้องรวย..? " ถ้าคุณหาเหตุผลให้กับคำถามนี้ไม่ได้ มันก็ยากที่คุณจะรวย แต่ถ้าคุณบอกว่า "ฉันแค่อยากรวย " คุณจะไม่มีทางร่ำรวยอย่างแน่นอน มันเป็นเรื่องจริง ถ้าไม่เชื่อคุณลองไปถามคำถามนี้กับคนจนหรือคนที่กำลังถังแตกดู ส่วนใหญ่พวกเขามักจะตอบคำถามคล้ายๆกัน คือ ฉันแค่อยากรวย
     ความร่ำรวยจะมาหาคนที่ปรารถนามันจริงๆไม่ใช่แค่อยากรวย อยากรวยใครๆก็อยากกันทั้งนั้น แต่จะมีสักกี่คนกัน ที่ปรารถนาจะร่ำรวย ยอมเสียสละเวลาและความสุขส่วนตัวเพื่อทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น หากคุณทำได้ความร่ำรวยก็จะเป็นฝ่ายวิ่งเข้ามาหาตัวคุณเอง เพราะฉะนั้น สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ หาเหตุผลกับตัวเองว่า ทำไมคุณถึงต้องรวย..?
มันต้องเป็นเหตุผลที่หนักแน่น เด็ดเดี่ยวบวกกับความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะร่ำรวย ผสมผสานเข้ากับเป้าหมายที่ชัดเจนและการยืยหยัด อดทน
แน่นอน! เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะร่ำรวยเพียงชั่วข้ามคืน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องใช้เวลา บวกกับแผนการวิธีการ บทความนี้จะบอกคุณถึงหลักการที่จะทำให้คุณร่ำรวยและมั่งคั่ง
คุณทราบหรือไม่ว่า บุคคลที่ร่ำรวยส่วนใหญ่พวกเขาก็ใช้หลักการนี้กันทั้งนั้น มันเป็นแนวคิดที่สืบทอดกันมาข้ามศตวรรษถูกส่งต่อมายังรุ่นต่อรุ่น มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่ทราบถึงหลกการนี้ และคุณก็กำลังจะเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น!
     ถ้าคุณพร้อมที่จะรับหลักการแห่งความร่ำรวยนี้แล้ว อย่ารอช้า! ไขประตูสู่ความมั่งคั่งและร่ำรวย กันเลยค่ะ
                            13 เคล็ดลับสู่ความร่ำรวย The Secret Of Riches

         เคล็ดลับข้อแรก ฉันสามารถกำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้
ถ้าคุณอยากร่ำรวย คุณต้องเชื่อก่อนว่า คุณสามารถกุมชะตาชีวิตของตัวเองได้ โดยเฉพาะเรื่องเงิน แต่ถ้าหากคุณไม่เชื่อเช่นนั้น คุณก็คงจะเป็นอีกคนที่ไม่ประสบความสำเร็จทางด้านการเงินและไม่สามารถร่ำรวยได้ คนรวยพวกเขาเชื่อว่า ชะตาชีวิตเป็นสิ่งที่พวกเขาควบคุมได้
คุณต้องเชื่อว่า คุณคือผู้สร้าหนทางสู่ความร่ำรวยด้วยตนเอง คุณเป็นผู้ลิขิตระดับความสำเร็จทางการเงินของตัวเอง และจงจดจำประโยคนี้ไว้ให้ดีๆ
 " สูตรสำเร็จของแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน แต่วิธีการที่พวกเขาใช้ทำนั้น เหมือนกันแทบทุกคน "
บางคนอาจแย้งว่า " สำหรับฉันเงินไม่ได้สำคัญขนาดนั้น " ใครก็ตามที่พูดว่า "เงินไม่สำคัญ" คนเหล่านั้นมักจะไม่มีเงิน! ทวนอีกครั้งนะคะ "ใครก็ตามที่บอกว่าเงินไม่สำคัญ คนเหล่านั้นมักจะไม่มีเงิน" ในทางกลับกัน อาจจะมีบางกลุ่มคนที่เชื่อว่า "เงินไม่ได้สำคัญเท่าความรัก" เรื่องนี้มันไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกันได้เลยค่ะ หรือถ้าคุณไม่เชื่อคุณลองตอบคำถามนี้ ไก่กับไข่อย่างไหนสำคัญกว่ากัน ระหว่างท่อนแขนกันท่อนขา คุณว่าอย่างไหนควรมี
      ฟังดีๆนะคะ เงินเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับทุกเรื่องที่ต้องใช้เงิน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ไม่มีความสำคัญเลยสักนิด สำหรับเรื่องที่ไม่ต้องใช้เงิน.
เมื่อคุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว หากคุณยังคิดว่า เงิน ยังเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ อมยิ้มบอกได้เลยว่า คุณไม่มีทางที่จะร่ำรวยได้แน่นอน ลองคิดดูสิค่ะว่า ถ้าคุณมีแฟน มีเพื่อน มีพ่อแม่ มีลูก แล้วคุณบอกพวกเขาเหล่านั้นว่า พวกเขาไม่ใช่คนสำคัญ คิดดูสิว่า คนเหล่านั้นจะยังอยากอยู่กับคุณมั้ย อมยิ้มคิดว่าไม่นะและเงินก็คงจะเหมือนกัน
ความมั่งคั่งและร่ำรวยจะไปหาคนที่ปรารถนาจะมีมันไว้ในครอบครองเสมอ
   
           เคล็ดลับข้อสอง จงเล่นเกมการเงิน เพื่อที่จะชนะ
ในเกมกีฬาผลแพ้ชนะอาจไม่ส่งผลต่อชีวิตเราทุกคน  เพราะถ้าเราแพ้ในครั้งนี้แต่เราสามารถแก้มือได้ในครั้งหน้า แต่สำหรับเรื่องเงินๆทองๆเราแพ้ไม่ได้ เพราะความพ่ายแพ้มันคือ หายนะทางการเงิน  ดังนั้น ในเกมการเงิน เราต้องเล่นเพื่อที่จะชนะเท่านั้น
     คนรวยมีเป้าหมายที่แท้จริงคือ การมีฐานะมั่งคั่งและมีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ พวกเขาไม่ได้อยากมีเงินแค่พอใช้ สำหรับเป้าหมายของคนจนคือ การมีเงินพอกินพอใช้สำหรับจับจ่ายใช้สอย มีเงินพอสำหรับจ่ายใบแจ้งหนี้
ถ้าคุณหรือใครก็ตามที่คิดแบบนี้ "ฉันขอแค่พอมีพอกิน มีเงินพอสำหรับจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าเทอมลูก จ่ายหนี้บัตรต่างๆ มีเหลือเก็บออมเล็กๆน้อยๆ " เป็นไปได้ว่า คนๆนั้นก็จะได้ตามเป้าหมายที่เขาตั้งไว้ เพระเหตุใด..? ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น..?
มันคือ "พลังแห่งความตั้งใจ" ถ้าเป้าหมายของคุณคือการมีฐานะปานกลาง พอมีพอใช้ เป็นไปได้มากที่คุณจะไม่มีทางร่ำรวย แต่ถ้าคุณอยากรวย เป้าหมายของคุณคือ ความร่ำรวย ฉันไม่ต้องการพอมีพอกินต้องการพอมีพอกิน แต่ฉันต้องการมีเหลือกินเหลือใช้ รวยก็คือรวย เชื่อได้เลยว่าชีวิตของคุณจะลงเอยด้วยความสบายอย่างแน่นอน
     จงจำไว้ การที่เราหวังสูง เพื่อที่จะมีความมั่งคั่งและร่ำรวยนั้น ดีกว่า การที่เราจะต้องพยายามยอมรับ ความทุกข์ยากและความยากไร้
เพราะฉะนั้น ก่อนง้างธนู ควรค้นหาเป้าหมาย เมื่อเจอเป้าหมายก็เหนี่ยวเต็มแรงเลยค่ะ

            เคล็ดลับข้อสาม ไม่ใช่แค่ "อยากรวย" แต่ฉัน " ต้องรวย"
เหมือนอย่างที่พูดในตอนเริ่มแรกแล้วว่า แค่พูดว่าอยากรวย มันไม่มีทางที่จะทำให้เราร่ำรวยขึ้นมาได้ ความอยากรวยไม่ได้ทำให้ใครร่ำรวย คนส่วนใหญ่พวกเขาไม่ได้อยากรวยจริงๆหรอก เพราะพวกเขามีความเชื่อในด้านลบเกี่ยวกับการเป็นคนรวยซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึก ซึ่งบอกว่าการเป็นคนรวยเป็นเรื่องที่ผิด ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น..?
     สาเหตุหลักที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ร่ำรวยมาจาก "ความคิด" หนังสือ Think And Grow Rich กล่าวไว้ว่า ความคิดเป็นดังสิ่งของ และเป็นสิ่งของที่ทรงพลัง โดยเฉพาะเมื่อความคิดนั้นถูกรวบรวมเข้ากับความเด็ดเดี่ยวของเป้าหมาย การยืนหยัด และความปรารถนาอันแรงกล้า
ที่จะเปลี่ยนความคิดนั้นให้เป็นความร่ำรวย
     เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ นั่นเป็นเพราะ พวกเขาไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร คนรวยจะรู้แน่ชัดว่าตนเองต้องการความมั่งคั่ง ร่ำรวย ไม่โลเลไปมา พวกเขามุ่งมั่นทุ่มเทให้กับการสร้างฐานะ คุณยังจำ"พลังแห่งความมั่นใจ"ได้หรือเปล่า มันเป็นเรื่องยากที่คุณจะเชื่อ
แต่ฟังดีๆนะคะ " คุณจะได้ในสิ่งที่คุณต้องการเสมอ สิ่งที่จิตใต้สำนึกของคุณต้องการ ไม่ใช่แค่พูดว่าคุณต้องการ " ดังนั้น ความร่ำรวยไม่ได้มาจากความอยากรวย แต่มันคือการที่เราได้เลือกแล้วว่าจะมุ่งมั่นเพื่อความร่ำรวย ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความมั่งคั่งและร่ำรวย ส่วนคนที่บอกว่า "ทำงานหนัก พยายามแทบตายเพื่อการเป็นคนรวย แต่ไม่ได้ผล" นั่นอาจเป็นเพราะ ความพยายามของคุณยังน้อยเกินไป คำว่ามุ่งมั่น คือการทุ่มเทแบบไม่มียั้ง ซึ้งหมายความว่าทำทุกอย่างและต้องทุกอย่างจริงๆเพื่อให้ได้มันมา(ถูกกฎหมาย)คุณอาจต้องเสียสละเวลา ต้องเสี่ยง ต้องยอมเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อทุ่มเทให้กับความมั่งคั่งร่ำรวย คนส่วนใหญ่พวกเขาทำตรงนี้ไม่ได้ การไม่ยอมทุ่มเทที่จะเป็นคนรวยนั่นแหละที่ทำให้พวกเขาไม่รวยเสียที
     การเป็นคนรวยไม่เหมือนการเดินทอดน่องในสวน มันต้องอาศัยความกล้า ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ความพยายามเต็ม100% ทัศนคติแบบไม่ยอมแพ้ และสุดท้าย วิธีคิดแบบคนรวย
จากนี้คุณต้องเชื่อว่า คุณสามารถสร้างฐานะ ความมั่งคั่งขึ้นมาได้ด้วยตนเอง
            เคล็ดลับข้อสี่ คิดให้ใหญ่อยู่เสมอ
เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่รวยนั่นคือ พวกเขาคิดเล็กไป คนรวยพวกเขาคิดการใหญ่เสมอ ยิ่งคุณคิดใหญ่มากเท่าไหร่ คุณก็จะร่ำรวยมากเท่านั้น
 สิ่งนี้ถูกเรียกว่า กฎของรายได้ "คุณจะได้รับเงินเท่ากับมูลค่าของตัวคุณในท้องตลาด"
     คีย์มันอยู่ตรงนี้ค่ะ "คำว่ามูลค่า" ปัจจัยที่บ่งบอกมูลค่าของคุณในท้องตลาดมี 4 ประการ อุปสงค์ อุปทาน คุณภาพ ปริมาณ ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคและปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่คือ ปริมาณ ซึ่งหมายถึง ปริมาณที่คุณสามารถทำให้งานของคุณ ธุรกิจของคุณ สร้างผลกระทบต่อจำนวนผู้คนได้มากแค่ไหน แน่นอน! ยิ่งธุรกิจของคุณทำประโยชน์ให้กับคนจำนวนมากเท่าไหร่ คุณก็จะร่ำรวยมากเท่านั้น
    คนที่ไม่รวย เป็นเพราะพวกเขาหมกหมุ่น คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง ตัวเอง และตัวเอง แต่ถ้าคุณอยากร่ำรวย คุณต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ มันจะไม่ใช่แค่คุณคนเดียวอีกต่อไป แต่จะหมายถึง การทำเพื่อส่วนรวม การมอบคุณค่าชีวิตให้กับผู้อื่น ยิ่งคุณช่วยผู้อื่นแก้ปัญหามากเท่าไหร่ คุณก็จะร่ำรวยมากขึ้นเท่านั้น เช่น คุณมีบ้านคุณได้ช่วยให้คนที่เขาไม่มีบ้านได้มีที่พักอาศัยโดยคุณทำเงินจากค่าเช่าและมูลค่าของทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คำถามคือ คุณจะช่วยเหลือกี่ครอบครัวและกี่คน? คุณทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สร้างคอนโด เพื่อช่วยให้คนมีที่พักอาศัยที่สะดวกสบายตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนเมือง ประเด็นคือ คุณอยากช่วยเหลือคนเมือกี่คน?
ในการผลิตสินค้าออกมาขายให้กับตลาด คุณต้องการผลิตสินค้าออกมาขายให้คนร้อยคนพันคนหรือคนหมื่นๆคน สิ่งเหล่านี้แหละค่ะ ที่เรียกว่า คิดการใหญ่
      ย้ำอีกครั้งนะคะ  ยิ่งเราช่วยคนอื่นแก้ปัญหาได้มากเท่าใหร่ คนเหล่านั้นก็จะดึงดูดความร่ำรวยมาหาคุณมากขึ้นเท่านั้น
            เคล็ดลับข้อห้า มองอุปสรรคให้เป็นโอกาส
หากถามคนส่วนใหญ่ว่า ปัญหาที่ทำให้พวกเขาไม่รวยคืออะไร? คำตอบที่ได้จากพวกเขานั้นอาจทำให้คุณคิดว่าฉันก็คงจะเป็นเหมือนพวกเขา "เพราะฉันไม่มีโอกาส โอกาสไม่ใช่ใครจะมีได้ทุกคน เพราะเหตุนี้ฉันจึงไม่รวย " โอกาสไม่เหมือนกับตอนเราเกิดที่ชีวิตหนึ่งจะมีแค่ครั้งเดียว แต่โอกาสมันอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทุกที่ ทุกเวลาและทุกสถานการณ์ เพียงแต่คุณจะมองเห็นมันและเตรียมความพร้อมสำหรับการคว้าโอกาสไว้หรือเปล่า
     คนรวยมองเห็นโอกาส ในขณะที่คนทั่วไปมองเห็นอุปสรรค คนรวยมองเห็นโอกาสที่จะเติบโต คนทั่วไปมองเห็นการสูญเสีย คนรวยให้ความสนใจกับรางวัลที่จะได้รับ คนทั่วไปมองเห็นความเสี่ยง คนรวยมองเห็นโอกาสที่จะสร้างความร่ำรวยบนความเสี่ยง ในขณะที่คนทั่วไปมองหาความมั่นคงและปลอดภัย
การเสี่ยงของคนรวยคือ การที่พวกเขาได้ศึกษา ค้นคว้าหาข้อมูลไว้อย่างละเอียดก่อน จากนั้นก็พิจารณาข้อมูลที่ได้รับมาว่ามีความจริงเท็จ ความมีน้ำหนักของข้อมูลน่าเชื่อถือได้แค่ไหนก่อนตัดสินใจลงทุนบนความเสี่ยงนั้นๆ ผลตอบแทนที่ได้ขึ้นอยู่กับระดับของความเสี่ยง ยิ่งมีความเสี่ยงสูงผลตอบแทนที่ได้ก็จะสูงตามไปด้วย เนื่องจากคนรวยมองเห็นโอกาสตลอดเวลา พวกเขาจึงเต็มใจที่จะเสี่ยง และพวกเขาก็เชื่อว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียหรือในสถานการณ์ที่ย่ำแย่พวกเขาก็สามารถหาเงินและสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้
     แต่คนส่วนใหญ่(จน)พวกเขาตัดสินใจโดยการยึดติดความคิดเข้ากับความกลัว ในทุกสถานการณ์ สมองของพวกเขาจะคอยมองหาข้อผิดพลาด จุดบกพร่อง พวกเขากลายเป็นคนที่ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง จนทำให้มองเห็นแต่อุปสรรค ปัญหาและความเสี่ยง เพราะความกลัวที่จะสูญเสียจึงทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะลงมือทำอะไร และมักหาข้ออ้างให้ตัวเองเสมอ แม้พวกเขาจะบอกว่าตนเองกำลังเตรียมพร้อมสำหรับโอกาส แต่ในความเป็นจริงแล้วมันคือการ " เพิกเฉย " พวกเขากลัวจนไม่กล้าจะทำอะไร คอยทำตัวให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลาในเรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อความร่ำรวย ปล่อยให้เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า จากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปี จนสุดท้ายโอกาสก็สูญหายและหลุดลอยไป จากนั้นพวกเขาก็จะอ้างว่า " ฉันกำลังเตรียมตัว "
มีคุณลุงท่านหนึ่งเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า เมื่อ20ปีก่อนท่านได้ตัดสินใจซื้อที่ดินไว้ผืนหนึ่ง เป็นที่ดินที่อยู่ห่างไกลจากชุมชนและความเจริญในตอนนั้นคนไม่ได้ให้ความสนใจราคามันจึงไม่สูงมากนักท่านจึงตัดสินใจซื้อเก็บไว้ดีกว่าเอาเงินไปใช้ทำอย่าอื่น ซึ่งมันอาจสูญเปล่าแต่ถ้าซื้อเก็บไว้อย่างน้อยๆก็มีที่ดินเป็นของตัวเองหากวันข้างหน้ามีเรื่องให้ต้องใช้เงินก็สามารถขายได้ หลังจากถือครองที่ดินผืนนั้นเป็นเวลา 10 ปี ที่ดินก็มีราคาสูงขึ้น เนื่องจากความเจริญของหมู่บ้านได้แผ่ขยายออกไป มีนายทุนมาขอซื้อที่เพื่อทำศูนย์การค้าขนาดใหญ่ เชื่อมั้ยค่ะว่า เพราะที่ดินผืนนั้นคุณลุงเลยกลายเป็นคนที่ร่ำรวยเพียงชั่วข้ามคืนจากการตัดสินใจซื้อที่ในตอนนั้น คุณคิดว่ามันเป็นโชคดีหรือเพราะคุณลุงมองเห็นโอกาส แต่ฉันคิดว่าทั้งสองอย่าง
      ฟังดีๆนะคะ การเป็นคนมีโชคจะเกิดขึ้นได้ เมื่อคุณลงมือทำเหตุให้เกิด หากคุณต้องการร่ำรวย ความสำเร็จทางการเงิน คุณต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง เริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง เมื่อคุณเริ่มต้นแล้วมันจะเป็นโชคดี ฟ้าลิขิตหรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้คุณไปถึงเป้าหมาย สิ่งนั้นไม่สำคัญหรอกค่ะ แค่มันเกิดขึ้นก็พอแล้ว
สิ่งสำคัญอีกอย่าที่คุณควรรู้คือ กฎของจักรวาลระบุไว้ว่า "สิ่งที่คุณให้ความสนใจจะเพิ่มขยายผล" ความหมายคือ อะไรก็ตามที่คุณให้ความสนใจมันจะขยายใหญ่ขึ้น ดึงดูดพวกเดียวกันมามากขึ้น เพราะฉะนั้นการที่คนรวยให้ความสนใจกับโอกาสมันจึงทำให้พวกเขาได้รับโอกาสมากมายที่เรียงรายเข้าไปหา
ซึ่งตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่(จน)พวกเขาให้ความสนใจกับอุปสรรคและปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งแน่นอนสิ่งที่พวกเขาได้รับจึงเป็น อุปสรรคและปัญหา นานับประการ สุดท้ายพวกเขาจึงต้องเผชิญกับปัญหาที่ยิ่งใหญ่ คือ การทุกข์ยากและยากจน
      จำประโยคนี้ไว้ให้ดีๆนะคะ ถ้าคุณอยากรวย จงมุงความสนใจไปที่การหาเงิน การเก็บเงิน และการลงทุน แต่ถ้าคุณอยากจน จงมุ่งความสนใจไปที่การใช้เงิน
              เคล็ดลับข้อหก จงเรียนรู้ความสำเร็จจากผู้อื่น
วิธีที่รวดเร็วและง่ายดายที่สุดในการสร้างฐานะให้มั่งคั่งและร่ำรวย คือ การเรียรู้จากคนรวยที่ประสบผลสำเร็จ เรียนรู้จากวิธีคิด วิธีปฎิบัติ แล้วนำวิธีการเหล่านั้นมาเป็นแบบอย่างให้กับตัวเอง พูดง่ายๆก็คือ การเลียนแบบนั่นเอง
       คนที่ประสบความสำเร็จพวกเขาจะมองความสำเร็จของผู้อื่นเป็นพลังขับเคลื่อนให้พวกเขามีขวัญและกำลังใจ พวกเขาศึกษาและเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้ที่ประสบผลสำเร็จและพวกเขาก็จะเดินตามทางที่คนร่ำรวยเหล่านั้นได้บอกทางไว้แล้ว
แต่สำหรับคนจน แน่นอน! พวกเขามีความคิดที่ตรงกันข้ามกับคนรวยและคนที่ประสบผลสำเร็จ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาได้ยินเรื่องความสำเร็จของคนอื่น พวกเขามักจะเกิดการวิพากษ์ วิจารณ์ แสดงอาการล้อเลียนเสียดสีต่างๆนานา และพยายามดึงคนเหล่านั้นให้ลงมาอยู่ในระดับเดียวกัน และนี่จึงเป็นเหตุผลที่คนจนไม่ประสบความสำเร็จทางด้านการเงินรวมทั้งทุกๆด้านของชีวิตด้วย
        จำประโยคนี้ไว้นะคะ " คุณไม่มีทางที่จะเรียนรู้หรือได้แรงบันดาลใจจากคนที่คุณดูถูก "
                 เคล็ดลับข้อเจ็ด ปัญหาเล็กนิดเดียว
ความแตกต่างที่สำคัญและยิ่งใหญ่ระหว่างคนรวยและคนจน "คนรวยจะมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก ส่วนคนจนจะมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่จะรับมือไหว"
     การสร้างฐานะไปสู่ความมั่งคั่งไม่เหมือนกับการเดินช็อปปิ้งในห้างหรือเดินออกกำลังกายในสวน แต่มันเป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรค ปัญหา บนถนนแห่งความมั่งคั่งที่เต็มไปด้วยกับดักและหลุมพราง และนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงไม่เลือกเดินบนถนนเส้นนี้ คำตอบก็คือ เพราะพวกเขาไม่อยากเจอกับปัญหา
คนจนทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองไม่ต้องเจอกับปัญหา แต่คุณเชื่อมั้ย ยิ่งพวกเขาวิ่งหนีปัญหา หลบเลี่ยงมันมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งเข้าใกล้มันมากเท่านั้น สุดท้ายพวกเขาก็ต้องเผชิญกับปัญหาที่ร้ายแรงมากที่สุดนั้นคือ ความทุกข์ยาก
     เคล็ดลับสู่ความสำเร็จไม่ใช่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาหรือหันหลังให้กับปัญหา แต่มันคือการยอมรับและพัฒนาตนเองให้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าทุกๆปัญหา
คนรวยพวกเขามุ่งความสนใจไปที่เป้าหมายมากกว่าปัญหา พวกเขามุ่งเน้นไปที่วิธีการแก้ไขปัญหาและป้องกันไม่ให้ปัญหานั้นเกิดขึ้นมาอีก
คนจนพวกเขาจะจมปรักอยู่กับปัญหาและเสียพลังงานไปกับการพร่ำบ่น โทษสิ่งต่างๆพวกเขาโทษทุกอย่าง ยกเว้นตัวเอง พวกเขาแทบไม่เคยคิดหาวิธีการเพื่อที่จะแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาไม่ประสบผลสำเร็จทางด้านการเงินและทุกๆด้านของชีวิต
     จำประโยคนี้ไว้นะคะ " เมื่อเรายังคงมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ทุกๆก้าวที่เราเดินไปจะต้องพบเจอกับปัญหาและอุปสรรค เพราะปัญหาและอุปสรรคมันคือส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตเราเติบโต"
                  เคล็ดลับข้อแปด อย่าให้มีเพดานจำกัดรายได้ของคุณ
หัวข้อนี้อาจมีผลกระทบต่อใครหลายๆคนที่กำลังทำงานประจำซึ่งรวมถึงตัวผู้เขียนเองด้วย การทำงานประจำไม่ผิดอะไรมันแค่ลดประสิทธิภาพในการหาเงินจากศักยภาพในตัวคุณก็เท่านั้นเอง และนั่นแหละคือปัญหาและมักจะเป็นปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่เสียด้วย
     ตอนที่ผู้เขียนได้รู้เคล็ดลับในข้อนี้ ในหัวสมองตอนนั้นคิดว่า มันเป็นความจริงทุกอย่างที่เขากล่าวไว้ คนส่วนใหญ่ที่พวกเขาเลือกที่จะทำงานประจำเลือกที่จะรับเงินเดือนประจำนั้น เหตุผลเพราะพวกเขากำลังกลัว กลัวว่าถ้าออกไปทำงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่งานที่ได้เงินตายตัวหรืองานที่มีรายได้ไม่แน่นอน พวกเขาจะมีเงินไม่พอใช้จ่ายในแต่ละเดือน หรือพูดง่ายๆก็คือ พวกเขากลัวว่าตัวเองจะหาเงินได้น้อยกว่าที่เคยได้รัวนั่นเอง
อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ความเคยชิน ในตอนที่เรายังเป็นเด็กหลายคนคงเคยได้ยินคำนี้ " ลูกต้องตั้งใจเรียน เรียนจบสูงๆได้เกรดดีๆ เพื่อที่ลูกจะได้ทำงานดีๆได้เงินเดือนสูงๆและมีความมั่นคงในชีวิต " ผู้เขียนไม่ปฎิเสธเลยเพราะตอนเป็นเด็กก็ได้ยินคำนี้จากพ่อแม่และครูที่โรงเรียน ด้วยคำพูดที่ว่านี้มันได้กลายมาเป็นความคิดที่ฝั่งใจหรือจิตใต้สำนึกของเรานั่นเอง เราจึงมีความคิดส่า ถ้าอยากมีชีวิตที่มั่นคง เราต้องทำงานและมีเงินเดือน ตรงข้ามในทางกลับกัน งานที่ไม่มั่นคง งานที่ไม่มีหลังประกันรายได้ที่แน่นอน เราไม่ควรทำเพราะมันจะทำให้ชีวิตเราไม่มั่นคงและปลอดภัย
     ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะรับเงินเดือนประจำหรือค่าแรงตามชั่วโมงการทำงาน เพราะพวกเขาต้องการความมั่นคง ซึ่งหมายถึงการได้รู้จำนวนเงินที่จะได้รับอย่างแน่นอนในทุกๆเดือน แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่รู้ พวกเขาต้องเสียบางสิ่งบางอย่างไปเพื่อแลกกับความมั่นคงของชีวิต นั่นก็คือ เวลาและความมั่งคั่ง
คนรวยพวกเขาจะเลือกรับเงินตามผลงานมากกว่าการมีเงินเดือนที่ตายตัว ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะสร้างธุรกิจในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง โดยมีรายได้เป็นผลกำไรจากธุรกิจ ถ้าเป็นในระบบการทำงานพวกเขาเลือกที่จะรับผลตอบแทนเป็นค่าคอมมิสชั่นหรือได้รับค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ของรายได้ พวกเขามักจะเลือกถือหุ้นและได้รับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทแทนที่จะรับเงินเดือนสูงๆ เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะ คนรวยพวกเขามีความเชื่อมั่นในตัวเอง พวกเขาเชื่อในความสามารถและคุณค่าในการสร้างมูลค่าให้กับตัวเอง ซึ่งตรงข้ามกับคนจนที่ไม่เชื่อ และนี่คือเหตุผลที่ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องการหลักประกัน
     กลยุทธิ์หลักในการหาเงินของคนจนคือ การเอาแรงและเวลาไปแลกกับเงิน ซึ่งข้อเสียของวิธีการนี้คือ เวลาและแรงของเรามันมีอยู่อย่างจำกัด นั่นหมายความว่าพวกเขากำลังแหกกฎแห่งความมั่งคั่งที่สำคัญที่สุดที่บอกว่า " อย่าให้มีเพดานมาจำกัดรายได้ของคุณ "
ถ้าคุณเลือกรับเงินตามเวลาที่คุณทำงาน เท่ากับคุณทำลายโอกาสไปสู่ความมั่งคั่งของตัวคุณเอง
                    เคล็ดลับข้อเก้า ทางเลือกมีมากกว่าหนึ่งเสมอ
คนรวยส่วนใหญ่คิดและเชื่อว่าพวกเขาสามารถเลือกได้ทั้สสองอย่าง แต่คนจนพวกเขาเชื่อว่าตนเองสามารถเลือกได้แค่อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น คุณอยากทำในสิ่งที่คุณรักกับมีรายได้มหาศาล คุณเลือกสิ่งใหน? การเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตกับการมีความสัมพันธุ์ที่ดีกับครอบครัว คุณเลือกอย่างใหน? ในการทำธุรกิจกับเที่ยวให้สนุกคุณเลือกแบบใหน? คุณอยากให้ชีวิตมีความหมายหรือต้องการเงิน
     ทุกคำถามที่ถามมาเราสามารถเลือกได้ทั้งสองอย่าง เราไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งและคนรวยก็เลือกที่จะมีทั้งสองอย่างเสมอ เราสามารถทำในสิ่งที่ตนเองรักและมีรายได้ควบคู่ไปด้วยซึ่งผู้เขียนก็ทำอยู่ในขณะนี้ เราสามารถเลือกที่จะเป็นคนที่ประสบผลสำเร็จในชีวิตไปพร้อมๆกับการมีความสัมพันธุ์ที่ดีกับคนในครอบครัว เราสามารถเลือกทำธุรกิจไปพร้อมๆกับการเที่ยวให้สนุกได้ นี่เป็นแค่ตัวอย่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้นยังมีอีกหลายๆคำถามที่เราสามารถเลือกตอบได้ว่า " ฉันเลือกทั้งสองอย่าง"
ในสถานการที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง คำถามที่สำคัญที่สุดที่คุณต้องถามตัวเอง คือ " ทำอย่างไรฉันถึงจะได้ทั้งสองอย่าง?และ ฉันจะมีทั้งสองอย่างได้อย่างไร? "คำถามนี้จะทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนทันที เปลี่ยนจากชีวิตที่ขาดแคลนและเต็มไปด้วยข้อจำกัดไปสู่ชีวิตที่อุดมสมบูรณ์และความเป็นไปได้ ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องของสิ่งที่คุณต้องการหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงทุกๆด้านของชีวิตอีกด้วย
    การคิดถึง สองทางเลือก เป็นเรื่องที่สำคัญมากโดยเฉพาะเรื่องเงิน คนจนเชื่อว่าพวกเขาต้องเลือกระหว่างเงินกับสิ่งอื่นๆในชีวิต และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาทำให้เงินกลายเป็นเรื่องสำคัญรองจากสิ่งอื่นๆ การบอกว่าเงินไม่สำคัญเท่ากับสิ่งอื่นๆในชีวิตมันเป็นเรื่องที่เหลวไหล เหมือนคำถามที่ว่า คุณคิดว่าอะไรสำคัญกว่ากันระหว่างแขนกับขา? เป็นไปได้ไหมว่ามันสำคัญทั้งสองอย่าง การเป็นคนดีไม่จำเป็นต้องเป็นคนจน
คนจนเชื่อว่าเงินและความสุขเป็นเรื่องที่แยกออกจากกัน พวกเขาต้องเลือกว่าจะรวยหรือมีความสุขแต่สำหรับคนรวยพวกเขาเลือกที่จะมีความสุขไปพร้อมๆกับการมีเงิน นั่นคือ ฉันเลือกทั้งสองอย่าง
     การเป็นคนดีไม่จำเป็นต้องเป็นคนจน คุณสามารถเป็นคนดีได้และรวยได้เช่นกัน การเป็นคนดีหรือไม่ดี มันไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณมีหรือไม่มีในกระเป๋าเงินเลย คุณสมบัติเหล่านั้นมันมาจากจิตใจของคุณจิตวิญณานภายในตัวคุณต่างหาก
                     เคล็ดลับข้อสิบ จงสร้างทรัพย์สิน
ตัวชี้วัดความมั่งคั่งคือมูลค่าของทรัพย์สินไม่ใช่รายได้จากการทำงาน .คนรวยพวกเขาจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างทรัพย์สินในขณที่คนจนมุ่งเน้นไปที่การหาเงิน การมีรายได้จากการทำงานมันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการเดินทางไปสู่ความมั่งคั่ง ที่กล่าวเช่นนี้เป็นเพราะคนรวยส่วนใหญ่พวกเขาก็เริ่มต้นจากการมีรายได้จากการทำงานมาก่อนทั้งนั้น นอกเสียจากว่าคุณจะมีเงินจากกองมรดกก้อนโตหรือถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง ซึ่งมันมีโอกาสเป็นไปได้เพียงแค่หนึ่งในล้านเท่านั้น
     ในหนังสือพ่อรวยสอนลูก ของ โรเบิร์ต ที.คิโยซากิ ได้กล่าวไว้ว่า " คนรวยครอบครองทรัพย์สิน ในขณะที่คนจนและคนชั้นกลางครอบครองหนี้สิน โดยคิดว่ามันคือทรัพย์สิน " ความหมายของทรัพย์สินในประโยคนี้คือ สิ่งที่ทำให้เงินไหลเข้ากระเป๋า ส่วนคำว่าหนี้สินคือ สิ่งที่ทำให้เงินไหลออกจากกระเป๋า
คนรวยพวกเขาจะรู้กฎการเงินข้อนี้ดี ดังนั้นพวกเขาจึงเอาเวลาไปสร้างทรัพย์สิน สังเกตุคนรวยส่วนใหญ่พวกเขาจะมีธุรกิจรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งที่สร้างรายได้ให้กับพวกเขา ซึ่งรายได้จากตรงนั้นทำให้พวกเขาสามารถที่จะหยุดทำงานได้และเอาเวลาไปใช้ทำอย่างอื่น เมื่อสมองของพวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไปพวกเขาก็สามารถมองเห็นโอกาสที่จะสร้างความร่ำรวยและมั่งคั่งมากยิ่งขึ้น
    ซึ่งแตกต่างจากคนจนที่สนใจแต่การหาเงิน มิหนำซ้ำพวกเขายังใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไปกับการสร้างหนี้สิน พวกเขาลืมคิดไปว่าเวลาที่พวกเขาจะใช้หาเงินนั้นมันมีวันหมดอายุ พวกเขาไม่สามารถเอาแรงไปแรกเงินได้ตลอดชีวิต ในวันที่พวกเขาไม่สามารถเอาแรงไปแรกเงินได้ เงินที่พวกเขาเคยได้ก็จะสูญหายไปกับตา และที่สำคัญที่สุดพวกเจายังต้องพบเจอกับความทุกข์ยากในวันที่พวกเขาไม่มีรายได้จากการทำงานอีกแล้ว
                       เคล็ดลับข้อสิบเอ็ด บริหารเงินให้เป็น
คนรวยกับคนจนไม่ได้ฉลาดเกินกันสักเท่าไหร่ แต่ที่คนรวยมีก็คือ นิสัยในด้านการเงินที่มีติดตัวมา นั่นอาจเป็นเพราะว่าพวกเขาถูกอบรมเลี้ยงดูมาจากครอบครัว หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะคนจนไม่รู้วิธีบริหารเงิน
     สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่าความสำเร็จทางการเงินและความล้มเหลวทางการเงินคือ วิธีบริหารเงินนั่นเอง เราอาจเชี่ยวชาญเรื่องเงินได้ถ้าเรารู้จักบริหารเงิน สำหรับคนจนส่วนใหญ่พวกเขามักจะบริหารเงินผิดวิธีและบางทีพวกเจาก็มักจะหลีกเลี่ยงโดยมีเหตุผลมาเสริมว่า การบริการเงินมันเป็นการจำกัดอิสรภาพ หรือพวกเขาบอกว่าตัวเองไม่มีเงินมากพอที่ต้องบริหาร
การบริหารเงินไม่ใช่การจำกัดอิสรภาพแต่มันจะทำให้เราได้รับอิสรภาพทางด้านการเงินที่แท้จริงต่างหาก คือคุณไม่จำเป็นต้องทำงานหนักอีก
สำหรับใครที่บอกว่า " ฉันไม่มีเงินมากพอที่ต้องบริหาร" คนที่คิดแบบนีพวกเขากำลังคิดกลับด้านเหมือนอ่านหนังสือกลับหัว พวกเขาคิดว่า " เมื่อมีเงินมากพวกเขาถึงจะบริหาร" แต่แท้ที่จริงพวกเขาควรคิดว่า " เมื่อฉันเริ่มบริหารฉันก็จะมีเงินมากขึ้น "
เราต้องเริ่มจากการบริหารเงินที่มีให้ได้เสียก่อนแล้วเราก็จะมีเงินให้บริหารมากขึ้น จงจำไว้เสมอว่า " นิสัยของการบริหารเงินย่อมสำคัญกว่าจำนวนเงินที่เราบริหาร"
    แล้วเราจะบริหารเงินของเราได้อย่างไร...?
สิ่งแรกที่เราต้องทำคือการเปิดบัญชีเพิ่มจากบัญชีเงินเดือน แล้วจากนั้นให้คุณทำการตัดเงินจากบัญชีเงินเดือนทุกๆเดือน 10% (ขั้นต่ำ) ของรายได้ทั้งหมด เงินส่วนนี้เป็นเงินที่มีไว้สำหรับเพื่อการลงทุนหรือสร้างแหล่งรายได้ที่เรียกว่า Passive Income.(รมยได้ที่เราไม่ต้องใช้แรงไปแลกมา) พูดง่ายๆก็คือ ถ้าเงินคือไข่ทองคำ บัญชีนี้ก็เปรียบเหมือนการสร้างห่านี่จะออกไข่เป็นทองคำนั่นเอง และที่สำคัญห้ามนำเงินในบัญชีนี้ไปใช้ซื้อของหรือใช้จ่ายอย่างอื่นเด็ดขาด ใช้ได้เฉพาะการลงทุนเท่านั้น
นอกจากคุณจะมีบัญชีเงินออมสำหรับการลงทุนแล้ว คุณยังต้องมีอีกบัญชีหนึ่งคือ บัญชีเพื่อสร้างความสุขให้กับตนเอง คุณควรจะหักเงิน 10%ของรายได้มาเข้าบัญชีนี้เพื่อสำหรับจับจ่ายใช้สอยหรือสิ่งทีทจะทำให้คุณมีความสุข เช่น การไปเที่ยว ดูหนัง ฟังเพลง ซื้อสิ่งของที่อยากได้และที่สำคัญที่สุดคุณต้องใช้เงินในบัญชีนี้ทุกเดือน เหตุผลก็คือ เพื่อสร้างความสมดุล ถ้าเราเก็บเงินอย่างเดียวโดยไม่ใช้จ่ายเลยสุดท้ายจิตวิญณานในตัวของเราก็จะมองหาความสนุก สุดท้ายมันจะล้างผลาญทุกอย่างที่เราเพียรสะสมมา
อีกบัญชีคือบัญชีเพื่อการศึกษา เราควรแบ่งเงิน10%ของรายได้เพื่อเก็บเข้าบัญชีนี้ เหตุผลเพราะ เราจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ชีวิตเราไม่ควรหยุดนิ่งอยู่กับที่ ดังนั้นการเรียนรู้เปรียบเสมือนกุญแจที่สำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ การเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องเป็นที่โรงเรียนเท่านั้นเราสามารถเรียนรู้ได้ในทุกสถานที่ เช่น เข้าสัมมนาเกี่ยวกับการลงทุน หาหนังสือแนวพัฒนาตนเองมาอ่าน ศึกษาชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จว่าเขามีแนวคิดอย่างไร อย่างนี้เป็นต้น
บัญชีสุดท้ายที่ควรมีไว้ก็คือ บัฐญชีสำหรับการให้ การทำบุญ การแบ่งปัน.เราควรแบ่งเงิน5%ของรายได้เข้าบัญชีนี้ บัญชีนี้ไว้ใช้สำหรับการที่เราจะนำเงินไปทำบุญหรือบริจาคเพื่อผู้อื่นที่ด้อยโอกาส อย่าลืมว่าชีวิตที่ทำเพื่อผู้อื่น อยู่เพื่อผู้อื่นนั้นมีคุณค่า ลองคิดดูสิว่าคุณจะมีความสุขมากแค่ไหนเมื่อคุณได้ช่วยเหลือคนอื่น
                            เคล็ดลับข้อสิบสอง ใช้เงินทำงาน
ถ้ามีใครบางคนมาบอกกับคุณว่า เราสามารถใช้เงินทำงานแทนตัวเราได้ คุณจะเชื่อคนๆนั้นไหม? ไม่! ฉันไม่คิดว่าคุณจะเชื่อคนๆนั้น เพราะคุณไม่ได้ถูกสอนมาว่าเงินสามารถทำงานแทนเราได้ คุณไม่เคยรู้เลยว่าเงินสามารถออกไปทำงานแทนเราได้
คุณรู้เพียงแค่ว่า ตัวเองต้องออกไปทำงานแล้วถึงจะได้เงิน คุณมีความเชื่อเพียงอย่างเดียวคือ ถ้าอยากมีเงินก็ต้องออกไปทำงาน หางานทำ นั้นคือวิธีเดียวที่คนจนหรือคนส่วนใหญ่ใช้ทำกัน
     หลักการสู่ความมั่งคั่งในหัวข้อนี้ มันอาจฟังดูเป็นไปไม่ได้ไม่มีความเป็นไปได้เลย เงินจะทำงานให้เราได้ยังไง? ฉันไม่เชื่อ! เสียงเล็กๆในหัวของคุณกำลังพูดขึ้นมา แต่...คุณไม่ต้องไปสนใจมันหรอกค่ะ มันจะพูดขึ้นมาในลักษณะนี้เสมอ เมื่อตัวเราได้ป้อนข้อมูลใหม่ๆเข้าไปในระบบของความคิด ถ้าความเชื่อเดิมของเรามันต่างกับข้อมูลใหม่ที่เราป้อนเข้าไป มันก็จะออกอาการประท้วงขึ้นมาเหมือนตัวอย่างที่บอกไปแล้วว่า "ฉันไม่เชื่อ"  ถ้าคุณเคยอ่านบทความเรื่อง Success ที่อมยิ้มเขียนเอาไว้คุณจะรู้ว่ามนุษย์เรามี2ตัวตนคุณจะเข้าใจมากขึ้น กลับมาที่เรื่องใช้เงินทำงานกันต่อนะคะ
ก่อนที่จะพูดกันต่อในเรื่องใช้เงินทำงานเรามารู้จักรายได้ของเรากันก่อนดีกว่าค่ะ
 รายได้บนโลกใบนี้มีอยู่2ประเภท นั้นคือ
    - รายได้แบบ Passive Income คือ รายได้ที่เราเอาแรงและเวลาไปสร้างทรัพย์สินเพื่อให้ทรัพย์สินสร้างรายได้แทนเรา รายได้แบบนี้ถ้าเราหยุดหรือป่วยเราก็ยังมีรายได้
   - รายได้แบบ Active Income คือ รายได้ที่เราเอาแรงและเวลาไปแลกมา รายได้แบบนี้ถ้าเราหยุดหรือป่วยรายได้ของเราก็หยุดตามไปด้วย
คนรวยพวกเขาจะรู้กฎการเงินข้อนี้ดีพวกเขาสามารถใช้เงินทำงานแทนพวกเขาได้ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำงานหนักอีกต่อไป แล้วพวกเขาทำอย่างไร...?
หลายคนอาจมีคำถามนี้ อมยิ้มมีคำตอบให้ค่ะ
คนรวยพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาต้องทำงานหนักและเหนื่อยเพื่อให้ได้เงินมา พวกเขาต้องใช้แรงและเวลาไปแลกกับเงินเหมือนคนส่วนใหญ่ แต่ที่ต่างกันคือ พวกเขาคิดว่าการทำงานในลักษณะนี้จะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต จำข้อนี้ไว้ให้ดีๆนะคะ เพราะมันอาจเปลี่ยนชีวิตคุณให้กลายเป็นคนมั่งคั่งร่ำรวยได้ คนรวยทำงานหนักเก็บออมเพื่อที่จะนำเงินไปสร้างรายได้กลับคืนมาให้กับพวกเขา(Passive Income) เมื่อรายได้ที่พวกเขาสร้างขึ้นมีจำนวนมากกว่ารายจ่ายที่ใช้จ่ายในแต่ละเดือนพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำงานหนักอีกต่อไป แหล่งที่มาของรายได้แบบ Passive Income
- รายได้จากทรัพย์สินทางการเงิน (Financial Assets) หุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวมต่างๆ เป็นต้น - รายได้จากทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Assets) เครื่องหมายการค้า สิ่งประดิษฐ์ หนังสือ เพลง Application หรือ Software
- รายได้จากอินเตอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้ง (Internet Marketing)
- รายได้จากอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) ที่ดิน บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ คอนโด
- รายได้จากการซื้อแฟรนไชส์ (Franchise)
- รายได้จากธุรกิจเครือข่าย (Network Marketing)
ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นคือแหล่งที่มาของรายได้แบบ Passive Income คนรวยส่วนใหญ่พวกเขาใช้หลักการนี้กันทั้งนั้น เมื่อพวกเขามีรายได้ Passive Income มากกว่ารายจ่ายพวกเขาก็สามารถหยุดการทำงานหนัก พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำงานทุกวัน มีเวลาว่ามากขึ้นจากการที่ไม่ต้องออกไปทำงานและนั่นทำให้พวกเขาสามารถคิดหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีความมั่งคั่งมากขึ้นกว่าเดิมโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป
     แตกต่างกับคนจนพวกเขาทำงานหนักเหมือนกันกับคนรวยทุกอย่างแต่ทำไมพวกเขาถึงไม่รวย พวกเขานำเงินที่ได้ไปใช้ทำอะไร...? คำตอบคือ พวกเขานำเงินที่ได้จากการทำงานหนักไปซื้อความสุขให้กับตัวเอง เช่น ซื้อรถเพื่อความมีหน้ามีตาในสังคม เสื้อผ้าแพงๆทานอาหารมนร้านหรูๆโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุด สังสรรค์กับเพื่อนๆสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่างๆที่พวกเขาสารมารถซื้อให้ตัวเองได้บางคนเงินไม่พอซื้อต้องยืมเงินจากอนาคตมาใช้ ทำบัตรเครดิต กู้ยืมจากสถาบันทางการเงินต่างๆเพื่อมาตอบสนองความต้องการของตัวเอง สุดท้ายก็กลายเป็นหนี้สินท่วมหัวทำงานใช้หนี้ไปแต่ละเดือน เหมือนกรงล้อที่มีหนูวิ่งอยู่ข้างในไม่สามารถหยุดวิ่งได้
          สรุปได้ว่า คนจนทำงานหนักและพวกเขาก็ใช้เงินทั้งหมดที่หามาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องทำงานหนักตลอดไป ส่วนคนรวย พวกเขาทำงานหนัก สะสมเงินและนำเงินไปสร้างรายได้Passive Income เมื่อรายได้มากกว่ารายจ่าย พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำงานหนักอีกต่อไป
                        เคล็ดลับข้อสิบสาม พัฒนาตนเองตลอดเวลา
อย่างที่ผู้เขียนเคยพูดไว้แล้วในเคล็ดลับข้อสิบเอ็ด เรื่องการเรียนรู้พัฒนาตนเอง คนส่วนใหญ่คิดว่าเมื่อเรียนจบออกมาทำงานพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อีก เพราะพวกเขาคิดว่าการเรียนรู้มีสอนแค่ในโรงเรียน มหาลัยเท่านั้น โรงเรียน มหาลัย สอนวิธีการหาความรู้ให้กับเรา เมื่อเราจบออกมาเราจะสามารถนำวิธีการที่ได้เรียนรู้เพิ่มจนเป็นการพัฒนาให้มันมีความชำนาญมากขึ้น
     คนที่ประสบผลสำเร็จในชีวิตพวกเขาไม่เคยหยุดการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง อันที่จริงการพัฒนาตนเองคือเป้าหมายที่สำคัญที่สุดเหนือเป้าหมายทั้งปวงเหมือนดังคำกล่าวของ อีริค ฮอฟเฟอร์ ที่กล่าวว่า" ผู้ที่เปิดใจเรียนรู้จะได้ดำรงอยู่ต่อไปขณะที่ผู้ที่คิดว่าตนเองรู้อยู่แล้วจะถูกส่งไปมีชีวิตอย่างสวยงามในโลกที่ไม่มีอยู่จริงอีกต่อไป" หรือพูดง่ายๆก็คือ ถ้าคุณไม่เรียนรู้อยู่ตลอดเวลาคุณก็จะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
เมื่อเราพัฒนาตนเองจนประสบผลสำเร็จทั้งด้านบุคลิกและความคิด มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะประสบความสำเร็จได้ในทุกด้านและทุกๆอย่างที่เราทำ
ความสำเร็จเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ได้ เราสามารถเรียนรู้ที่จะประสบความสำเร็จได้ในทุกๆเรื่องไม่สำคัญว่าตอนนี้คุณอยู่ตรงจุดไหน ไม่สำคัญว่าคุณเริ่มต้นจากตรงไหน สิ่งสำคัญคือ ความเต็มใจที่จะเรียนรู้
     สุดท้ายนี้อมยิ้มหวังว่าเคล็ดลับทั้งสิบสามข้อนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ได้อ่านทุกท่านและอมยิ้มก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าใครก็ตามที่ได้อ่านจะนำเคล็ดลับทั้งหมดไปปรับใช้กับชีวิต อีกข้อที่สำคัญที่อมยิ้มอยากบอกก็คือ เราควรมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน ถ้าทำอะไรโดยขาดเป้าหมายที่ชัดเจนแน่นอนว่าความประสบผลสำเร็จย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
      เส้นทางความสำเร็จในการปีนสู่ยอดเขามีอยู่ฉันใด หนทางและกลยุทธ์ที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างรายได้ที่งดงาม อิสรภาพทางการเงิน และความมั่งคั่งก็มีอยู่ฉันนั้น คุณต้องเรียนรู้และนำวิธีเหล่านั้นมาใช้ในชีวิต

Weewy
เคล็ดลับสู่ความร่ำรวย
The secret of riches